“นี่นายน่ะ!! ไปปราบจอมมารกันเถอะ!!”
นั่นเป็นคำพูดแรกที่มีคนพูดกับผมนับตั้งแต่ผมก้าวเข้ามาเรียนในโรงเรียนมัธยมมิยาโอโนะแห่งนี้ โดยคนที่พูดคือสาวน้อยตัวเล็ก ผมสีม่วงมัดเป็นทวินเทล ตาแหลมคม ผิวขาวๆของเธอช่างเหมือนกับหิมะ เครื่องแบบนั่นเห็นได้ชัดว่าเป็นนักเรียนมัธยมปลายเหมือนกับตัวผม ตัวเธอดูๆไปแล้วก็น่ารักดี แต่ว่าคำพูดที่ออกมาจากปากของเธอนั้นมัน…
“เอ่อ ว่าไงนะ”
“ชั้นก็ชวนนายไปปราบจอมมารไง รู้มั้ย เจ้าจอมมารน่ะมันคิดจะทำลายล้างโลกเลยนะ ถ้าปล่อยไว้แบบนี้ต้องถึงจุดจบของโลกแน่”
โอเค สาวน้อยน่ารักคนนี้กำลังพูดเรื่องไปปราบจอมมารสินะ ทำลายล้างโลกสินะ ถ้าอย่างงั้นก็คงมีอย่างเดียวที่ทำได้ล่ะ
“ได้เลย!! ชั้นเอาด้วย!!” ผมพูดออกไปพร้อมกับสีหน้าที่จริงจัง
“จริงๆเหรอ!!” แววตาของเธอเป็นประกาย
“จะบ้าเหรอหล่อน!! ไปปราบจอมมงจอมมารอะไรกัน โตเป็นควายอยู่ม.ปลายแล้วยังเพ้อเจ้ออีก!! ถอยไปซะ!! จะเข้าเรียนแล้ว!!”
ผมผลักเธอออกไปแล้วเดินไปเข้าห้องเรียน พับผ่าสิ มาโรงเรียนวันแรกก็ดันเจออะไรแปลกๆซะได้ อุตส่าห์หนีมาจากไอ้พ่อบ้านั่นได้แล้วเชียว ยังมาเจอผู้หญิงเพี้ยนๆมาพูดอะไรเพ้อเจ้อที่ระเบียงอีก นี่ตรู
ไม่ได้หนีมายุ่นปี่เพื่อเจอเรื่องปวดหัวอีกนะเฟ้ย
ผมบ่นกับตัวเองไป ผมก็รู้สึกได้ว่าข้างหลังของผมมีภาพไม่น่ามองอยู่
“ฮึก ฮึก ฮือ แง”
สาวน้อยคนนั้นกำลังร้องไห้อยู่ อะไรฟะเจอแค่นั้นไปก็ร้องไห้แล้วรึ เป็นเด็กไม่รู้จักโตรึไงฟะ เราต้องอย่าไปสนใจ อย่าไปสนใจ!!
“ฮึก ฮึก แง” เสียงร้องไห้ดังขึ้นอีก
ปั๊ดโธ่เว้ย!!
“เออ ก็ได้หยุดร้องซะที ชั้นจะไปปราบจอมมงจอมมารอะไรนั่นกับเธอก็ได้”
ผมพูดระหว่างเดินกลับไปจับไหล่เธอที่นั่งคุกเข้าร้องไห้อยู่ นี่ตรูกำลังทำบ้าอะไรอยู่ฟะเนี่ย สาวน้อยคน
นั้นหันหน้ามาทางผม ขอบตาของเธอยังมีน้ำตาอยู่ เธอปาดน้ำตาทั้งสองข้างออก แล้ว…ยิ้ม
อึ๊ก!!
นะ นี่มันอะไรกัน ทะ ทำไมรู้สึกแปลกๆแบบนี้ มันเหมือนมีอะไรจี๊ดอยู่ในอกเลย
นะ น่ารัก
สาวน้อยคนนั้นยืนขึ้นระหว่างที่ผมกำลังงุนงงอยู่ เธอปัดฝุ่นออกจากกระโปรงของเธอ แล้วหันมาพูดกับผม
“ถ้าอย่างนั้น!!! ต่อไปนี้นายจะได้เป้น 1 ใน Party ผู้กล้าไปปราบจอมมาร!!”
“โดยตำแหน่งของนายก็คือ!!!” เธอพูดแล้วล้วงเข้าไปในกระเป๋าเสื้อ แล้วหยิบเศษกระดาษออกมา 5 แผ่น
“เอ้า เลือกเลยสิ” เธอบอกให้ผมเลือกเจ้าเศษกระดาษพวกนั้น
“ดะ เดี๋ยวก่อน นี่มันอะไรกัน ตำแหน่งงั้นเหรอ? มันหมายความว่าไงฟะ!!”
“เอาเถอะน่ารีบๆเลือกมา”
ช่วยไม่ได้แฮะ เลือกก็เลือก ถึงจะไม่รู้ก็เถอะว่ามันหมายความว่าไง ผมหยิบกระดาษขึ้นมาหนึ่งแผ่น แล้วค่อยๆคลี่มันออกดู ข้างในเขียนด้วยลายมือที่โย้เย้อ่านไม่ค่อยออก นี่มัน…
“คนยกของ”
เอ๋ คนยกของเหรอ ว่าแต่ไปปราบจอมมารมันต้องใช้คนยกของด้วยเหรอ? ไม่สิทำไมถึงมีคนยกของอยู่ในตัวเลือกด้วยล่ะฟะ!! นี่จะไปปราบจอมมารหรือตั้งแคมป์บนภูเขาวะเนี่ย!!
“นี่หล่อน มันหมายความว่าไง!!” ผมยื่นกระดาษที่จับได้ให้เธอดู
“โอ๊ะ คนยกของเหรอ ได้คลาสอาชีพที่เจ๋งสุดๆไปแฮะ”
“คลาสอาชีพงั้นเหรอ คนยกของมันเป็นคลาสอาชีพด้วยเหรอ?”
“ใช่แล้วล่ะ คนยกของน่ะมีสกิลยกของ ทำให้แบ่งเบาภาระของเพื่อนๆใน Party ได้ เจ๋งไปเลยใช่มั้ยล่ะ เป็นที่พึ่งของทุกคนในยามยาก เท่สุดๆไปเลย!!”
หะ เห้ย มันไม่ใช่แล้วมั้ง
“แล้วนอกจากนั้น ถ้าเลเวลถึงก็จะสามารถอัพคลาสไปเป็น “คนขับรถส่งของ” ได้ด้วยล่ะ!! ทำให้ได้สกิลขับขี่ยานพาหนะสองล้อมาเพิ่มด้วย!! แต่ถ้าจะเอาสี่ล้อล่ะก็ต้องไปดรอปเอาใบขับขี่ประเภทสี่ล้อมาก่อนนะ”
อะไรของยัยนี่ฟะ…
“อ๊ายยยยยย เท่สุดๆไปเล้ย!! คนยกของเนี่ย ชั้นเองจะเปลี่ยนคลาสไปเป็นคนส่งของแทนผู้กล้าดีมั้ยน้า หรือว่าจะเป็นคนแบกน้ำ คนหาฟืน หรือจะเป็นกัปตันโจรสลัดดี เลือกไม่ถูกเลยนะเนี่ย!!”
คิดยังไงฟะจะเปลี่ยนจากผู้กล้าไปเป็นคนยกของ แล้วไอ้อาชีพที่เหลือนั่นมันอะไรกันฟะ!! นี่มันไปตั้งแคมป์ชัดๆเลยไม่ใช่เรอะ!! แล้วกัปตันโจรสลัดมันมาจากคาบสมุทรมลายูเหรอวะ!! แม่งมาจากไหน!!
ขณะที่ผมกำลังเงิบกับยัยคนนี้อยู่นั้น ก็มีนักเรียนหลายคนที่เดินผ่านไปมามองมาที่เราแล้วซุบซิบนินทากัน
“นี่ๆ นั่นมันยัยเพี้ยนโนโซมิไม่ใช่เหรอ”
“นั่นสิ แหม วันๆพูดแต่เรื่องไปปราบจอมมงจอมมารอะไรนั่น บ้าชะมัด”
“สงสัยจะสติไม่ดีล่ะมั้ง ไม่นึกว่าโรงเรียนนี้จะรับคนบ้ามาเรียนด้วยนะเนี่ย ฮะๆ”
ดูเหมือนว่ายัยนี่เองก็ไม่ได้เป็นที่นิยมชมชอบของคนอื่นๆซักเท่าใดนักนะ…
“นี่ๆนายน่ะ เรียนอยู่ห้องไหนเหรอ” อยู่ดีๆเธอก็ยื่นหน้าเข้ามาใกล้ผม อึ๊ก ยะ อย่าเข้ามาใกล้ขนาดนั้นสิ แววตาของเธอราวกับสะกดผมไว้
“ปะ ปีสอง ห้องสาม”
“เอ๋?? ห้องเดียวกันเลยนี่นา!! เยี่ยมไปเลย!! แบบนี้การวางแผนไปปราบจอมมารก็ง่ายขึ้น!! เข้าใกล้ความฝันเข้าไปทุกทีแล้ว!! ถ้าอย่างนั้นก็ขอฝากตัวด้วยนะ นาย…”
ตอนที่เธอหันมาผมก็ชิ่งออกมาแล้ว จะบ้ารึไงฟะ ไม่เอาด้วยหรอก ตูหนีมาอยู่ที่นี่ไม่ได้อยากเจอเรื่องปวดหัวพรรค์นั้นนะเฟ้ย อย่าเอาปัญหามาให้ตูเลยยัยเพี้ยน ผมรีบวิ่งขึ้นบันไดไป เพื่อขึ้นชั้นสาม อันเป็นที่อยู่ของห้องปีสอง เพราะยัยนั่นแท้ๆเชียว!! สายจนได้!!
ผมรีบวิ่งไปที่หน้าประตูของห้องสาม แล้วเปิดประตูเข้าไปอย่างรวดเร็ว
“ขะ ขอโทษที่มาสายครับ!!”
“ไม่เป็นไรจ้า”
เอ๋?
เสียงนี่มัน….คุ้นๆอยู่นะ ผมมองเข้าไปในห้อง หน้าประตูมีเด็กสาวผมสีม่วงคนนึงยืนยิ้มอยู่ ยะ ยัยนี่ มาตอนไฟนฟะเนี่ย!!
“ยินดีต้อนรับ สมาชิกผู้กล้าคนใหม่!! สู่ฐานทัพลับของพวกเรา”
โป๊ก!!
เสียงหนังสือกระแทกกับกะโหลกดังขึ้นมา ตามด้วยยัยหัวม่วงน้ำตาไหลเอามือกุมกระหม่อมตัวเอง
“อาจารย์มิโนริ หนูเจ็บนะ”
“เลิกทำบ้าๆแล้วก็ไปนั่งที่ได้แล้ว ชิบาตะ” ครูสาวสวยพูดกับยัยหัวม่วง นี่คืออาจารย์ประจำชั้นของเรางั้นเหรอ หวาว สวยสุดๆไปเลยแฮะ
“ยัยมิโนริคนป่าเถื่อน แบบนี้ทั้งชาติก็หาแฟนไม่ได้หรอก!!” ยัยหัวม่วงพูดแล้ววิ่งหนีกลับไปนั่งที่ของตนเอง
“หนอย ยัยเด็กนี่!!” อาจรย์สาวแสนสวยคนนั้นแสดงหน้าตาโหดร้ายออกมา ลบความสวยเมื่อกี้ออกไปหมดสิ้น
“เฮ้อ ขอโทษด้วยนะ เด็กใหม่ใช่มั้ยจ๊ะ เข้ามาสิ แล้วแนะนำตัวให้ทุกคนรู้จักนะ” เธอหันกลับมายิ้มให้ผม ปรับอารมณ์เก่งจริงๆ
“เอาล่ะทุกคน วันนี้จะมีนักเรียนใหม่นะจ๊ะ เอาล่ะ แนะนำตัวเลยจ้ะ”
“อะ เอ่อ ครับผม ผม จอห์น คาเวนดิสครับ เป็นลูกครึ่งญี่ปุ่น-อเมริกามาจากออสเตรเลียครับผม”
ทุกคนฮือฮากันใหญ่ตอนที่ผมบอกว่าตนเองเป็นลูกครึ่ง มีผู้หญิงคนนึงยกมือถาม เธอมีผมสีน้ำตาลสั้น หน้าตาเองก็น่ารักใช้ได้เลย
“นี่ๆ เธอมีแฟนรึยังอ่ะ”
ทุกคนตะลึงกับคำถามที่เธอถาม ผมเองก็ด้วยเช่นกัน จู่ๆมาถามเรื่องแฟนเลยเนี่ยนะ
“อ่ะ เรื่องนั้นน่ะยัง..”
ปึ้ง!!
“เดี๋ยวเถอะค่ะ!! คุณนางาจิ จู่ๆไปถามแบบนั้นมันไม่สมควรอย่างยิ่งนะคะ แล้วยิ่งเป็นเรื่องชู้สาวแบบนั้นอีก” สาวน้อยผมดำยาว หน้าสะสวยคนนึงทุบโต๊ะเสียงดัง แล้วพูดออกมาด้วยท่าทางที่เขินอายเล็กน้อย
“อา ชั้นก็แค่ถามเล่นๆไปแค่นั้นเอง ยูกิจังไม่ชอบผู้ชายนี่นา ขอโทษด้วยละกันนะ” สาวผมน้ำตาลพูดออกมา พลางยกมือขอโทษ
“มะ ไม่เกี่ยวกับเรื่องนั้นสักหน่อยค่ะ ชะ ชั้นก็แค่เห็นว่ามันไม่เป็นการสมควรที่จะพูดเรื่องแบบนั้นในตอนนี้น่ะคะ” เธอพูดตะกุกตะกักด้วยใบหน้าที่แดง
บรรยากาสในห้องกำลังโกลาหลกันใหญ่ นี่สภาพห้องเรียนญี่ปุ่นเป็นแบบนี้เองรึ น่ากลัวจริงๆ
ทันใดนั้นก็มีเสียงทุบโต๊ะดังขึ้นมาจากหลังห้อง ทุกคนในห้องเงียบกริบ ทุกคนหันไปดูต้นตอของเสียงนั่น มันคือยัยผมม่วงที่กำลังยืนตบโต๊ะอยู่ ใบหน้าของเธอดูแล้วจริงจังมาก
เธอค่อยๆเดินออกมาหน้าห้อง ทุกสายตาจับจ้องไปที่เธอ เธอเดินอาดๆตรงมาหาผมแล้วหยุดยืน
“อะ อะไร”
เธอชี้หน้าผม พร้อมกับสายตาที่จิกราวกับล็อคผมไว้ไม่ให้ไปไหน แล้วเธอก็พูดออกมา
“ชั้นเอง…ก็มีคำถาม”
“อะ เอ่อ” ผมทำตัวไม่ถูกเลยแฮะ อยู่ดีๆยัยนี่ก็น่ากลัวขึ้นมาซะงั้น
“นายน่ะ…”
“ความจริงแล้ว…”
อึ้ก
“ชอบซุปเห็ดมากกว่าซุปเต้าเจี้ยวใช่มั้ยล่ะ!!!”
อ่าเร๊ะ??
เธอพูดออกมาด้วยสีหน้าโคตรของโคตรจริงจัง แต่ทั้งห้องและผมกลับงง งงไม่พอ ยังเงิบอีกต่างหาก อะไรของยัยนี่วะเนี่ย!! หรือว่านี่จะเป็นวัฒนธรรมการต้อนรับของญี่ปุ่นกัน!! ยังงี้เราต้องตอบไปว่าใช่ดีมั้ย? แต่ว่าถ้าอย่างนั้นเขาจะหาว่าเราเป็นฝรั่งขี้นกไม่นิยมของญี่ปุ่นรึเปล่า!! หรือว่าจะตอบไปว่าชอบทั้งคู่ดีล่ะ? แต่ว่าอาจจะถูกเรียกว่าคนหลายใจก็ได้!! จะทำยังไงดี!! ช่วยไม่ได้ ตอบแบบนี้เลยล่ะกัน!!
“ชั้นน่ะนะ!!”
“ชอบซุปข้าวโพดมากกว่าเฟ้ย!!!”
ผมพูดออกไปด้วยความมั่นใจและจริงจังสุดๆ นี่ตรู…กำลังทำบ้าอะไรอยู่ฟะเนี่ย
ยัยหัวม่วงล้มลงไปนั่งที่พื้น สีหน้าของเธอแสดงอาการช็อคกับสิ่งที่ตนเองได้ยิน
“ยังงี้..ยังงี้เองสินะ ซะ ซุปข้าวโพดงั้นเหรอ นะ นึกไม่ถึงเลย”
“สมแล้วที่เป็นหนึ่งใน Party ของชั้น นายนี่เจ๋งจริงๆ ซุปข้าวโพดงั้นเรอะ!!ยอดไปเลย!! ต้องกำจัดจอมมารได้แน่!! แน่นอน!!”
โป๊ก!!
แล้วยัยหัวม่วงก็โดนเข้าไปอีกดอก หลังจากนั้นยัยนั่นก็โดนเอ็ดชุดใหญ่ แล้วคาบเช้าก็เริ่มต้นขึ้นหลังจากเหตุการณ์บ้าๆบอๆพวกนั้น เฮ้อ นี่ขนาดยังไม่เข้าเรียนนะเนี่ย แล้วหลังจากนี้มันจะขนาดไหนกัน
“นี่ๆมากินข้าวด้วยกันเถอะ”ตอนนี้เป็นช่วงพักเที่ยงแล้ว ยัยหัวม่วงมายืนหน้าโต๊ะผม พร้อมกับถือข้าวกล่องของตัวเองมาด้วย เฮ้อ ยัยเพี้ยนนี่มันอะไรกัน
“แต่ชั้นไม่มีข้าวกล่องนะ”
“ไม่เป็นไรหรอก กินกับชั้นนี่แหละ ชั้นน่ะชอบทำข้าวกล่องมาเยอะๆแจกทุกคนอยู่แล้ว” เธอยิ้ม แล้วเลื่อนโต๊ะของเธอมาต่อกับโต๊ะของผม โดยไม่ถามผมซักคำ พร้อมกับเปิดข้าวกล่องของตนเองขึ้นมา
ว้าว!!
ข้างในเต็มไปด้วยอาหารกลางวันมากมายหลายชนิด ไอ้ผมเองก็ไม่เคยกินข้าวกล่องด้วยสิ เลยไม่รู้ว่ามันมีอะไรบ้าง แต่ว่าทั้งการจัดวาง สีสันของอาหารนี่มันสุดยอดไปเลย
“ทานล่ะนะค้า”
เธอพูดพร้อมกับหยิบตะเกียบขึ้นมาคีบของใส่ปาก ใบหน้าของเธอดูจะมีความสุขเหลือเกิน ทำไมกันนะ ทั้งๆที่ยัยนี่เป็นตัวยุ่งแท้ๆ แต่เวลาผมมองหน้าเธอ ผมกลับรู้สึกอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก
“อ้าม”
เธอคีบอาหารชิ้นหนึ่งเข้ามาจ่อที่ปากของผม นะ นี่หล่อนทำอะไรเนี่ย
“อ้าปากหน่อยสิ ถ้าไม่อ้าจะกินยังไงล่ะ เอ้า อ้าม”
“มะ ไม่ต้องป้อนก็ได้ ชะ ชั้นจัดการเอง”
ผมรีบจกตะเกียบมาจากมือของยัยนั่นแล้วเอาอาหารใส่เข้าปาก
อร่อย
อร่อยสุดๆไปเลยนะเนี่ย ข้าวกล่องนี่ฝีมือยัยนี่งั้นเหรอ ไม่น่าเชื่อว่ายัยเด็กเพี้ยนนี่จะทำข้าวกล่องได้
อร่อยขนาดนี้
“เป็นไง อร่อยใช่มั้ยล่ะ กินเยอะๆเข้าล่ะจะได้ มีแรงไปสู้กับจอมมาร” เธอยิ้มให้ผมพร้อมกับหัวเราะเล็กๆ
อึ๊ก แบบนั้น มะ มันจะน่ารักไปแล้วนะ!! เย็นไว้จอห์น เมิงเป็นลูกผู้ชายนะ แค่นี้ต้องรับมันให้ได้เซ่!!
“ว่าแต่จอมมารที่ว่าน่ะ มันอยู่ที่ไหนกัน แล้วจะไปปราบมันยังไง” ผมลองตามน้ำไปกับหล่อนหน่อยละกัน
“เรื่องนั้น ไม่รู้หรอก” เธอตอบกลับมาน่าตาเฉย ระหว่างคีบข้าวใส่ปาก
“เดี๋ยวดิเฮ้ย ไม่รู้แล้วจะไปปราบยังไงฟะ ว่าแต่ไอ้ของอย่างจอมมารมันมีด้วยเหรอ!!”
“มีสิ” เธอตอบกลับมา
“ถ้าเราเชื่อมั่นว่ามี มันจะมีแน่นอน ขอแค่เชื่อมั่น ทุกๆอย่างจะต้องเป็นจริงแน่นอน ไม่ว่าจะฟังแล้วไร้สาระแค่ไหน ขอแค่เชื่อมั่นก็พอ”
“และชั้นก็เชื่อมั่นในตัวนายนะ” เธอยิ้มให้ผม
ใบหน้าของเธอระหว่างที่พูดนั้นดึงดูดผมเหลือเกิน หัวใจของผมเต้นไม่เป็นจังหวะ นะ นี่มันอะไรกัน ความรู้สึกแปลกๆแบบนี้คืออะไร ราวกับว่าอกจะระเบิดเลย
“อ๊าๆ สวีทกันอยู่เหรอจ้ะคู่นี้ น่ารักจังเลย ขอชั้นเข้าร่วมวงด้วยสิ”
หญิงผมน้ำตาลเมื่อเช้า อยู่ดีๆก็เลื่อนโต๊ะเข้ามาเสียบข้างๆโต๊ะของเราสองคน พร้อมกับเอาข้าวกล่องของตนเองขึ้นมาวางบนโต๊ะ เธอดูแล้วเป็นคนร่าเริง ผมสีน้ำตาลสั้นนั่นดูแล้วเข้ากับเธอดีเหลือเกิน
“ไม่ใช่ซักหน่อย!! ไซโกะ ชั้นแค่กำลังพูดถึงเรื่องความเชื่อมั่นอยู่ต่างหากล่ะ!! มันเป็นเรื่องสำคัญเลยนะในการต่อสู้กับจอมมารน่ะ!!”
“งั้นเหรอ อืม ว่าแต่วันนี้มีอะไรกินบ้างน่ะ อุหวา น่ากินจังเลย ขอกินไส้กรอกนี่หน่อยสิ” เธอเอาตะเกียบคีบไส้กรอกจากกล่องข้าวออกไปพร้อมกับเอาเข้าปาก
“อื้มมมมมมม อร่อยสุดยอด!! ข้าวกล่องของโนโซมินี่สุดยอดที่สุดในโลกเล้ย!!” เธอพูดด้วยสีหน้ามีความสุขหลังจากกินไส้กรอกนั่นเข้าไป
“อ๊ะ ลืมแนะนำตัวไปเลยนี่นา” เธอพึ่งนึกขึ้นได้ว่าลืมแนะนำตัวกับผม
“ชั้นชื่อ นางาจิ ไซโกะ เป็นหนึ่งในสมาชิกของ Party!!”
“ส่วนตำแหน่งก็ “คนขับเครื่องบินทิ้งระเบิด”!!”
“เดี๋ยวนะ ไอ้คนขับเครื่องบินทิ้งระเบิดนี่มันอะไรกัน!!”
“ก็คนขับเครื่องบินทิ้งระเบิดไง การต่อสู้กับจอมมารน่ะใช้พวกอาวุธเก่าคร่ำครึอย่างดาบ หรือธนูไม่ได้หรอก มันต้องใช้อาวุธสมัยใหม่อย่างระเบิดไงล่ะ แถมตอนนี้ไซโกะยังได้สกิลทิ้งระเบิดปรมาณูด้วยนะ เพิ่มความแข็งแกร่งเข้าไปอีกแน่ะ” ยัยหัวม่วงบอกกับผมหน้าตาเฉย
“ถ้าอย่างนั้นทำไมไม่ใช้เวทมนต์ล่ะ!! สู้กับจอมมารน่ะใช้เวทย์มนต์ก็ได้นี่!!”
“พูดเป็นหนังการ์ตูนไปได้ ของอย่างเวทมนต์มันจะไปมีได้ยังไงกัน” เธอตอกกลับมาระหว่างเอาข้าวยัดเข้าปาก
“ถ้าอย่างนั้นแล้วจอมมารจะไปมีได้ยังไงกันล่ะฟะ!!”
ผมกำลังปวดหัวกับยัยนี่อยู่ จนลืมไปว่าตัวเองแทบจะไม่ได้กินอะไรเลย แล้วยัยสองหน่อข้างหน้านี่ก็โซ้ยเรียบไปหมดแล้ว เวรแล้วไง
“ลำบากน่าดูเลยนะนาย”
เสียงผู้ชายพูดขึ้นพร้อมกับมีมือมาตบไหล่ผมเบาๆ เขามีผมสีฟ้า ทำหน้าตาเบื่อโลกนิดๆ แล้วไม่ต้องถามมันก็เอาโต๊ะมาต่อกับโต๊ะพวกเราอีก เป้นใครมาจากนรกขุมไหนอีกฟะ
เจ้านี่หยิบของออกมาจากกระเป๋า แล้ววางไว้บนโต๊ะ มันคือ…
ราเม็ง
ใช่แล้วมันคือราเม็งชามใหญ่โคตรซุเปอร์จัมโบ้เซ็ทใส่พริกแบบจัดเต็ม ซึ่งทำให้ผมเกิดคำถามมากมาย ตัวอย่างเช่น
“มรึงเอาออกมาจากไหนฟะ!! แล้วนั่นมันราเม็งใช่มั้ย!! มึงแดกราเม็งใส่พริกเป็นอาหารเที่ยงเนี่ยนะ!! ไม่สิ!! มึงยัดเข้าไปในกระเป๋าได้ไงวะ!! กระเป๋านั่นเป็นกระเป๋ามิติที่สี่ใช่มั้ย!! ในนั้นมีของวิเศษอยู่ใช่มั้ยล่า!!”
ผมสติแตกทันทีพร้อมกับรัวคำถามเป็นชุด
“นายเนี่ย ขี้โวยวายจังเลยนะ ชั้นก็แค่ห่อเอาไว้เท่านั้นเอง”
“ออ ห่อเอาไว้สินะ เข้าใจล่ะ…”
“ใช่ที่ไหนล่ะโว้ย!! เมิงห่ออีท่าไหนวะถึงยัดใส่กระเป๋ามาได้เนี่ย!!”
ผมเริ่มบ้าไปแล้ว ทำไมที่นี่มีแต่อะไรแบบนี้วะเนี่ย ตรูคิดถูกแล้วรึที่มาเรียนที่นี่
“รู้สึกนายจะเข้ากันได้ดีกับริวเซย์เลยนะ ดีเลย เท่านี้ค่าความสัมพันธ์ในกลุ่มจะได้เพิ่มขึ้น” ยัยหัวม่วงบอกกับผมระหว่างดื่มชากระป๋องอยู่
“กลุ่มงั้นเหรอ? อย่าบอกนะว่าเจ้านี่ก็อยู่ใน Party ด้วยน่ะ” ผมชี้ไปที่ไอ้หัวฟ้าที่กำลังดูดราเม็งอย่างไม่รู้ร้อน
“ใช่แล้ว หมอนี่คือ เออิคิจิ ริวเซย์ หน้าที่ใน Party ก็คือ “คนฝึกสุนัข”!!”
“จะไม่ขอถามละกันว่าทำไมไปปราบจอมมารถึงต้องมีคนฝึกสุนัข”ผมพูดออกไประหว่างที่เอามือเฟสพาล์มอยู่
นี่มันบ้าอะไรกันเนี่ย มาเข้าเรียนวันแรกก็เจอแต่พวกเพี้ยนๆทั้งนั้นเลย แบบนี้ชีวิตม.ปลายที่สงบสุขมันจะเป็นจริงมั้ยเนี่ย ตรูม่ได้หนีมาเพื่อมาปราบจอมมารนะเฟ้ยยยยยยยยยยยย ผมฟุบหน้าลงไปกับโต๊ะ
ผมรู้สึกได้ว่ามีมือนุ่มๆมาแตะที่หัวของผม ผมหันขึ้นมาข้างบน ก็พบกับไซโกะที่เอือมาลูบหัวผมอยู่
“แบบนี้ไม่ดีเหรอจ๊ะ หลายๆคนนี่มาจากที่อื่น กว่าจะปรับตัวให้เข้ากับโรงเรียนใหม่ได้ก็ต้องใช้เวลานาน แต่จอห์นคุงน่ะ มาแปปเดียวได้เพื่อนตั้งสามคนเลยนะ”
“ส่วนเรื่องของโนโซมิน่ะ ถึงจะเห็นเป็นแบบนั้น แต่ว่าเธอเองไม่ใช่คนเลวร้ายอะไรหรอก อยู่กับโนโซมิจังน่ะน่าตื่นเต้นกว่าใช้ชีวิตแบบนักเรียนม.ปลายธรรมดาๆแน่นอน แถมยังได้กินของอร่อยๆด้วยทุกวันเลยนะ”
เธอยิ้มให้กับผม อาห์ นี่มันแม่พระเหรอเนี่ย
“ชั้นตัดสินใจได้ล่ะ!! ชื่อจอห์นของนายมันเรียกยาก!! ชั้นจะตั้งชื่อใหม่ให้นายเอง!!”อยู่ดีๆยัยโนโซมิก็โพล่งออกมา
“นี่เธอถามชั้นซักคำรึยังเนี่ย”
“เอาล่ะ!! ต่อไปนี้นายชื่อ ชิโร่!!” เธอตั้งชื่อให้ผมเสร็จสรรพ
“ชิโร่เรอะ ทำไมชื่อมันเหมือนหมาเลยเนี่ย?”
“ชื่อหมาบ้านชั้นเองแหละ”
“อย่าเอาชื่อหมามาตั้งชื่อคนสิเฟ้ย!!”
ตูละหน่ายกับยัยนี่จริงๆ ยังงี้เรอะจะสนุกได้เนี่ย อ๊ะ
ยัยโนโซมิจับตัวผมที่ฟุบลุกขึ้นมานั่ง แล้วชี้หน้าผม
“ตัวชั้น ชิบาตะ โนโซมิ ผู้กล้าที่ถูกเลือกให้ไปปราบจอมมารผู้ชั่วช้า ขอแต่งตั้งให้นายเป็นหนึ่งในทัพผู้กล้า!! ชิโร่!! ต่อไปนี้นายคือ “คนยกของ”ชิโร่แล้ว”
“ว้าว คนยกของงั้นเหรอจ้ะ ชั้นเองก็อยากเป็นนะ เท่ไปเลย” ไซโกะยิ้มด้วยความตื่นเต้น
“โอ้ เจ๋งเลยแฮะ” ริวเซย์ก็เอากับเขาด้วย
ยัยหัวม่วงหยิบเข็มกลัดออกมาจากกระเป๋าแล้วยื่นให้กับผม มันมีลักษณะเป็นรูปดาวหกแฉก ตัวหนังสือสีแดง เขียนว่า
“BURST เหรอ?”
“ใช่แล้วนั่นคือชื่อของ Party เราไงล่ะ”
“เอาล่ะ ชิโร่ ยินดีต้อนรับสู่ BURST!!” เธอพูดกับผมพร้อมกับยื่นมือมาให้
ผมหันไปมองไซโกะ เธอยิ้มแล้วพยักหน้าให้ผม พอผมหันไปทางริวเซย์ เขาเองก็พยักหน้าให้ผมเช่นเดียวกัน เอาก็เอาวะ
ผมยื่นมีไปจับมือของเธอ มือของเธอช่างนุ่มเหลือเกิน เธอลากผมไปที่หน้าต่างพร้อมกับตะโกนออกไปอย่างสุดเสียง
“โอ๊ส!! เอาล่ะจอมมาร!! เตรียมตัวไว้เลย!! เราจะต้องจัดการแกได้แน่!!”
เมื่อจบคำพูดเธอก็กับมายิ้มให้ผม
ดูท่าการมาอยู่ญี่ปุ่นครั้งนี้คงทำให้ผมเจอเรื่องยุ่งๆแน่นอนเลย