"มันเป็นเรื่องน่าแปลก ... ที่บางครั้งคนที่เรามองเขาทุกครั้งผ่านทางจอโทรทัศน์ จะกลายมาเป็นหนึ่งในคนที่ยืนเคียงข้างร่วมเดินทางไปกับเรา"
"และมันก็เป็นเรื่องน่าแปลกอีก ... ที่นิยายสุดมหัศจรรย์ จะกลายมาเป็นเรื่องราวแห่งการผจญภัยของผมซะได้"
"ยินดีต้อนรับ ... สู่ตำนานบทใหม่ที่กำลังจะเริ่มขึ้น"
----------------------------------
The Legendary
บทที่ 1 วันแรกในอเมริกา
กลางเดือนตุลาคม ปี 20XX
หมู่บ้านย่านชานเมืองไมอามี่ รัฐฟลอริด้า
7:00 น."กริ๊งงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง"
เสียงนาฬิกาปลุกดังขึ้นตรงตามเวลาที่ถูกตั้งไว้ มันเป็นดั่งเสียงสัญญาณเริ่มต้นวันใหม่ เจ้านาฬิกาปลุกยังคงส่งเสียงดังอยู่บนหัวเตียงที่เมื่องมองถัดไปที่เตียงขนาดใหญ่ ร่างของเด็กชายที่ถูกคลุมไปด้วยผ้าห่มผืนหนาทั้งตัวเริ่มค่อยๆขยับตัวแล้วเอื้อมมือไปปิดนาฬิกาปลุกอย่างอ่อนแรง นาฬิกาปลุกหยุดส่งเสียงดังแล้ว เด็กชายก็หยุดการเคลื่อนไหวเช่นกัน ก่อนที่เด็กชายชายจะค่อยๆขยับดันตัวเองให้ลุกขึ้นนั่ง
"กี่โมงแล้วเนี่ยยย..." เสียงของเด็กชายดังขึ้น เด็กชายผมสีน้ำตาลดูรุงรังเข้มค่อยๆยกมือขยี้หูขยี้ตาอย่างงัวเงีย ดวงตาที่เหมือนสีผมของเขาคู่นี้มองไปรอบๆห้องอย่างเหมอลอย ก่อนจะเอ่ยขึ้นมาอีกประโยคว่า "นี่ ... อยู่ที่อเมริกาแล้วต้องตื่นเช้าขนาดนี้เลยหรอเนี่ย"
"นนท์!!!!" เสียงเรียกเด็กชายดังขึ้นมาจากชั่นล่างของบ้าน นนท์หันควับทันทีเพราะเป็นเสียงที่คุ้นเคย
"ตื่นหรือยัง!! พี่เตรียมอาหารเช้าเสร็จแล้วนะ!! รีบลงมาเลย!!!!" เสียงตะโกนดังขึ้นอีกรอบ คราวนี้นนท์รีบตอบกลับทันที "ครับบบ!! เดี๋ยวผมจะลงไปครับ!!!"
แล้วเด็กชายก็รีบสลัดผ้าปูที่นอนทันที ก่อนจะค่อยๆลุกจากเตียงเดินตรงไปที่ห้องน้ำ...
เช้าวันนี้ .. สำหรับ "นนท์" แล้ว มันไม่ใช่เช้าวันที่ใหม่ที่ปรกติสำหรับตัวเขา เพราะว่าวันนี้เป็นเช้าวันแรกที่เขาตื่นขึ้นมาในบ้านของพี่ชายที่อยู่ทางชานเมืองไมอามี่ ... ใช่แล้ว ... เขาไม่ได้อยู่ที่เมืองไทย บ้านเกิดของเขา เพราะเมื่อ 2 วันก่อน นนท์ได้ตัดสินใจใช้เงินเก็บของตนเอง ที่ได้จากทั้งเงินค่าขนมที่พ่อแม่ให้เขา และเงินเดือนจากการทำงานในช่วงหน้าร้อนที่ผ่านมา ซื้อตั๋วเครื่องบินบินตรงจากท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ บินตรงมายังท่าอากาศยานเมืองไมอามี่เมื่อเย็นวานนี้ แน่นอนว่าการมายังอเมริกาของนนท์นั้น สร้างความประหลาดใจให้กับ "นัฐ" พี่ชายคนโตของนนท์ยิ่งนัก เพราะตัวของนนท์ไม่ได้บอกเรื่องการเดินทางครั้งนี้ให้ใครรับรู้เลย
'มันเป็นการตัดสินใจกะทันหันฮ่ะ ... ผมเองยังยังงงตัวเองเลย' นนท์สารภาพกับนัฐ หลังจากที่นัฐรับรู้ความจริงผ่านทางโทรศัพท์ประจำสำนักงานว่านนท์มายังบ้านพักตากอากาศของตนแล้วแต่เปิดประตูบ้านไม่ได้ นัฐจึงต้องลางานครึ่งวันเพื่อมารับน้องชายตนเอง นนท์รู้ว่าตนเองทำให้พี่ชายต้องคอยลำบากอีกแล้ว ถึงแม้พี่ชายจะยินดีไม่บ่นเลยซักคำ แถมสัญญาว่าจะดูแลนนท์เป็นอย่างดีอีกด้วย
สำหรับนนท์ ... นัฐคือที่ปรึกษาที่ดีที่สุด สำหรับการ "หนี" ครั้งนี้
เขาเชื่อใจพี่ชายที่เขารัก ... ว่าพี่ชายของเขาจะไม่มีวันเอาเรื่องนี้ไปเล่าให้ "พ่อ" ของตนฟังเด็ดขาด
"อ้าว ... ลงมาแล้วหรอ" นัฐพูดขึ้นเมื่อเงยหน้าจากหนังสือพิมพ์แล้วเห็นน้องชายตนเองเดินลงมาจากบันไดชั้น 2 "รีบมานั่งกินดีกว่า เดี๋ยวอาหารเช้าจะเย็นซะก่อน"
นนท์เดินเข้ามาในห้องครัวที่ภายในก็ปรับให้เป็นห้องรับประทานอาหารด้วย นนท์ยอมรับว่าบ้านของตนนั้นค่อนข้างมีฐานะในระดับนึง บ้านหลังนี้ก็เป็นสมบัติของครอบครัว เขาจำได้ว่าเขาเคยมาบ้านหลังนี้ครั้งหนึงเมื่อตอนเขาอยู่ชั้น ป.6 จำได้ว่าตอนนั้นมาพักร้อนเล่นทะเลกันที่ฟลอริด้าและเป็นการส่งพี่ชายมารับงานของพ่ออย่างเต็มตัว แต่ที่น่าประหลาดใจคือเมื่อตอนนั้นบ้านหลังไม่ได้ใหญ่โตขนาดนี้ ส่วนห้องครัวนั้นความจริงตอนนั้นยืนอยู่ 2 คนยังลำบากเลย นี่ละมั้งที่ทำให้นนท์นับถือพี่ชายของตนเองมากที่สามารถเก็บเงินจากการทำงานในตำแหน่งรองผู้บริหารฯฝ่ายการต่างประเทศ แล้วนำเงินมาพัฒนาบ้านหลังนี้ได้
"ว้าว!! อเมริกันเบรคฟาสท์เลยแหะ ฝีมือพี่ใช่ไหมฮ่ะเนี่ย" นนท์ร้องขึ้นทันทีที่นั่งลงที่โต๊ะรับประทานอาหาร บนโต๊ะมีทั้งแพนเค้กเรียงตัวสูงราดด้วยซอสหลิ่นหอม ไข่ดาว ไส้กรอก เบคอน ขบมปังปิ้งเรียงรายอยู่บนจาน แถมยังมีนมสดแก้วโตอยู่ข้างๆ นัฐที่เห็นน้องชายของตนจ้องมองอาหารที่อยู่บนโต๊ะด้วยสายตาเป็นประกาย ก็ยิ้ขึ้นแล้วพูดว่า "อยากทานเท่าไหร่ก็ได้นะ พี่กินอิ่มแล้ว"
"จริงอ่ะ!! งั้นผมฟาดเรียบนะ!!!" นนท์จ้องมองพี่ชายด้วยความหวัง นัฐพยักหน้ายืนยันสิ่งที่ตนเองพูด นนท์ที่เห็นพี่ชายส่งสัญญาอนุญาตก็จัดการหยิบอาวุธขึ้นมาแล้วเริ่มจัดการสิ่งที่อยุ่ตรงหน้าทันที
นัฐมองน้องชายที่กำลังค่อยๆซัดอาหารบนโต๊ะหายไปเรื่อยๆ เขาไม่แปลกใจเลยที่จะเห็นน้องชายของเขากินเยอะขนาดนี้ เยอะกว่าที่ตนนั้นกินด้วยซ้ำ 5 ปีที่เขาไม่ได้เจอน้องชายคนนี้ นนท์โตขึ้นมาจากเด็กประถมร่างเล็กผิดปรกติเด็กชายทั่วไป ครั้งสุดท้ายที่ทั้งเจอกันคือเมื่องตอนที่ครอบครัวของเขามาพักร้อนกันที่นี่ และเขาต้องทำงานอยู่ที่บริษัทของพ่อตนเองในสาขาอเมริกาเหนือ ภาพของนนท์ในตอนนั้นคือน้องชายที่ติดพี่อย่างหนัก นนท์ร้องไห้เกาะขาของเขาไม่ปล่อย น้ำตาไหลขี้มูกโป่งร้องขอจะอยู่กับเขา แต่เขาไม่สามารถทำได้เนื่องจากเขาต้องใช้เวลาส่วนใหญ่ในการฝึกงานเพื่อเตรียมรับตำแหน่งใหญ่ในอนาคตข้างหน้า ทำให้ 5 ปีที่ผ่านมา นัฐไม่เคยได้กลับไปที่เมืองไทยเลยสักครั้ง แม้แต่การติดต่อกลับไปทางบ้านนัฐก็แทบไม่ได้ทำ จะติดต่อกันก็เฉพาะเรื่องานเท่านั้น เพราะเหตุนี้เมื่อนัฐเจอนนท์อีกครั้งที่หน้าบ้านตนเอง น้องชายของเขาจึงดูเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น แม้ส่วนสูงจะยังผิดก็ตัวของเขาก็เถอะ
นนท์ดูตื่นเต้นกับการมาอเมริกาครั้งนี้มาก ... ดูตื่นเต้นและมีความสุข จากการพูดคุยกันเมื่อคืน ทำให้นัฐรู้ว่า 5 ปีที่ผ่านมานนท์เป็นเด็กที่เก็บเงินเก่งพอตัว เพราะสามารถใช้เงินเก็บซื้อตั๋วเครื่องบินมายังที่นี้ด้วย (ไม่ก็ทางบ้านให้เงินค่าขนมเยอะ) นนท์ใช้เวลาอยู่กับเขาโดยการเล่าเรื่องราวที่บ้านและที่โรงเรียน โดยเฉพาะวีรกรรมที่ไปก่อเรื่องในโรงเรียนสร้างตำนานอันปวดหัวให้กับเหล่าครูบาอาจารย์
'แล้ว ... แกอยู่มาได้ยังไงโดยไม่โดนไล่ออก?'
'ง่ายๆเลยพี่ ... เอาเกรด 4.00 ยัดปากอาจารย์แค่นี้ก่อนสิ้นเรื่อง' น้องชายของเขาพูดด้วยความอวดดี
แต่พอถามเรื่องทางบ้าน ... น้ำเสียงกลับเป็นคนละคนเลย
'ผมขออยู่ที่นี่ซักพัก ... ผมไม่อยากกลับไปที่บ้านอีกแล้ว'ฟังดูแปลก ... น้องชายของเขาต้องการจะอยู่กับเขาที่อเมริกามากกว่าอยู่ที่เมืองไทยซ่ะอีก แต่นัฐไม่แปลกใจเลย เขาพอรู้สาเหตุที่น้องชายเขาเป็นแบบนี้ ...รู้ดีเลยด้วย... เขาไม่ได้เอ่ยปากถามน้องชายถึงเรื่องทางบ้านไปมากกว่านั้น
'โดนพ่อด่ามาอีกแล้วล่ะซิ' บทสนทนาของพวกเขาจบลงแค่นั้น
"นี่ ... ค่อยๆกินก็ได้ เดี๋ยวก็ติดคอหรอก" นัฐพูดขึ้นเมื่อเห็นน้องชายฟัดอาหารจนจะหมดโต๊ะด้วยความรวดเร็ว นนท์เงยหน้าขึ้นมาด้วยสภาพที่อาหารเต็มปาก "อ้ออองอันอาออย"
"กินให้หมดปากแล้วค่อยพูดสิ - -"
"ก็ของมันอร่อยนิพี่" นนท์กลืนอาหารแล้วพูดขึ้น "เพิ่งได้กินแบบนี้ครั้งแรกด้วย อร่อยจริงๆนะพี่"
"รู้ว่าอร่อย แต่ไม่ต้องรีบกินก็ได้ ไม่มีใครแย่งหรอก" นัฐค่อยๆยกแก้วกาแฟขึ้นดื่ม แล้วก็พูดต่อว่า
"เออ ... เมื่อวานพ่อเขาโทรมาถามเรื่องเราด้วยนะ"แกร๊งงงงงงงงงงงงงงงงงงงง!!!!เสียงส้อมกระทบพื้นดังขึ้นทันที ... นัฐรีบเงยหน้ามองน้องชายตนเอง ที่มองเขากลับด้วยสีหน้าช็อค
"พ่อ?!? ... หรอฮ่ะ?!?"
'ดูเหมือน ... พูดอะไรที่ไม่น่าพูดออกพูดออกไปแหะเรา' นัฐคิดในใจ ก่อนจะตัดสินใจตอบกลับไปว่า "อื้อ .. โทรมาถามว่าเราหนีมาอยู่นี่หรือเปล่า?"
นนท์เบิกตาโตทันที "แล้วพี่ตอบไปว่าไงฮ่ะ!!!"
"พี่ตอบว่าไม่รู้เรื่อง ... แถมพอถามว่าที่บ้านเกิดเรื่องอะไรขึ้น พ่อก็วางสายใส่ทันทีเลยด้วย" คำตอบของนัฐทำให้นนท์โล่งใจ ทิ้งตัวพิงพนักเก้าอี้ทันที "เฮอะ ... ค่อยยังชั่ว"
"คราวนี้ทะเลาะกันหนักถึงขั้นทนไม่ไหว ตัดสินใจหนีมาอยู่กับพี่เลยหรือ?" นัฐตัดสินใจถามน้องชายหลังจากที่ลังเลมานาน นนท์ที่ได้ยินคำถามดูเหมือนจะช็อคเล็กน้อย เขาไม่ได้เตรียมใจและเตรียมคำตอบมาตอบเลยด้วยซ้ำ
"ก็ ... เรื่องเดิมนั้นแหละฮ่ะ"
'ว่าแล้ว...' นัฐคิดในใจ "แล้ว ... อะไรดลใจให้ทนไม่ไหวล่ะ?"
"ถ้าพี่ลองโดนพ่อพูดกรอกหูทุกวัน ผมว่าพี่ก็สติแตกแบบผมแหละฮ่ะ"
"ทุกวันเลยหรอ?!?" นัฐถามอย่างแปลกใจ
"พี่รู้ใช่ไหมว่าเทอมนี้ผม ม.5 แล้ว ... ไม่สิ ... ความจริงเรื่องมันเริ่มใหญ่ก็เมื่อตอนพอรู้ว่าผมโกหกว่าจะต่อสายวิทย์คณิตแต่ดันไปลงสายศิลป์คำนวณไว้ หลังจากนั้นก็โดนพ่อพูดจิกกัดมาตลอด" นนท์สารภาพด้วยน้ำเสียงขมขื่น "มีเมื่อวันอังคารที่ผ่านมาเนี่ยแหละที่ผมระเบิดลง ทะเลาะแบบแตกหักเลยละ"
"พี่พอเข้าใจนะ" นัฐพยายามหาทางปลอบใจน้องชายตนเอง ที่ตอนนี้จู่ๆการสนทนาเข้าสู่โหมดรัดทนชีวิต "นนท์ไม่ต้องเครียดไปนะ ... พี่เชื่อว่าอย่างนายต้องผ่านเรื่องทุกอย่างไปได้อยู่แล้ว"
"ครับ .. ผมหวังไว้แบบนั้น" นนท์พูดขึ้น "แต่ที่แน่ๆ .. ผมคงไม่ได้จบ ม.6 พร้อมเพื่อนๆแน่"
"ทำไมล่ะ?"
"ก็ขืนกลับไป ... ผมได้โดนพ่อฆ่าตายแน่ๆ" นนท์พูดด้วยเสียงเรียบ นัฐพยักหน้าเห็นด้วย "เออ จริง ... แล้วเราจะทำยังไงต่อล่ะ"
"ผมไม่อยากเรียนแล้วล่ะฮ่ะ""พรู่ดดดดดดดดดดดดด" เสียงพ่นกาแฟจากนัฐดังขึ้น ตามมาด้วยเสียงไอจากการสำลักกาแฟ "แค่กๆๆๆ แฮ่กๆ เมื่อกี้นายว่าไงนะ?"
"แค่เฉพาะตอนนี้เฉยๆฮ่ะพี่ ... ที่รู้สึกไม่อยากเรียน ยังเข็ดอยู่กับเรื่องที่ทะเลาะกับพ่อ" นนท์พูดขึ้นขนาดที่ในปากยังเคี้ยวเบค่อนอยู่ "รอผมมี Inspiration ก่อนค่อยเรียน แต่ตอนนี้พักก่อนดีกว่า"
"อื้ออือ .. ก็ดี" นัฐหยิบผ้ามาเช็ดปาก "แล้วถ้าไม่อยากเรียก ... ช่วงนี้อยากทำอะไรล่ะ?"
"อยากทำงานพิเศษฮ่ะ"นัฐขมวดคิ้วทันที "หืม? งานพิเศษ???"
"ใช่ฮ่ะ ... ผมได้ยินมาว่าถ้ามาทำงานพิเศษที่ต่างประเทศจะได้เงินเยอะพอตัว ถึงขนาดส่งตัวเองเรียนได้เลยนะ"
"นายนี่แปลก .. บ้านเราก็เงินเยอะแล้วจะออกไปทำงานพิเศษทำไมกัน" นัฐสงสัย
"อยุ่บ้านมันน่าเบื่อนะพี่ ... ก็อยากออกไปหาประสบการณ์บ้าง ยิ่งเป็นที่นี่ นิ่งน่าสนใจใหญ่" นนท์พูดด้วยสีหน้าและน้ำเสียงที่ดีขึ้น
"อยากหางานทำ ... ทำงานที่บริษัทเราไหมล่ะ??"
"ไม่เอาอ่ะพี่ ... ผมเกลียดงานบริษัทที่สุดเลย" นนท์พูดด้วยน้ำเสียงเข้ม ก่อนยกแก้วนมขึ้นดื่ม
'พอเข้าใจเรื่องที่มันทะเลาะกับพ่อล่ะ ... แอนตี้กันขนาดนี้' นัฐคาดเดาเหตุการณ์ในใจ "แล้ว ... อยากทำงานแบบไหนล่ะ พี่พอรู้จักเพื่อนเยอะอยู่นะ อาจจะช่วยฝากให้ทำงานได้"
"งานอะไรก็ได้ฮ่ะที่ไม่ใช่งานบริษัท หรืองานที่ต้องนั่งโต๊ะทำงานตลอดเวลา ถ้าขอแบบตะลุยออกนอกสถานที่ได้ยิ่งดีเลยฮ่ะ ผมชอบ"
'โอเค ... พอเข้าใจอีกนิดละ ไลฟ์สไตล์มันขัดกับพ่อโดยสิ้นเชิงเลยนิ' นัฐคิดในใจ ก่อนลองถามน้องชายของตอนดู
"นนท์"
"ฮ่ะ?!?"
"นี่แกยังดูมวยปล้ำอยู่หรือเปล่า?"
"เหมือนเดิมฮ่ะ ... ดูและตามข่าวเรื่อยๆ"
"ถ้าพี่ฝากงานให้แกทำที่ WWE ได้ ... จะสนใจไหม?""ก็โอเ........ ห๊าาาา!!!!"
'พี่มีเพื่อนสมัยมัธยมคนหนึ่ง ตอนนี้ทำงานเป็นฝ่ายเทคนิคควบคุมดูแลอุปกรณ์ของ WWE ... ตำแหน่งโอเคเลย แล้วเมื่อสัปดาห์ก่อนมันเพิ่งโทรมาบ่นกับพี่ว่าอยากได้ลูกมือค่อยช่วยจัดการเอกสารให้ สนใจไหมล่ะ ถ้าสน ... พี่จะได้รีบโทรบอกมัน'
... ทำงานใน WWE ..."นี่มันความฝันของผมเลยนะเนี่ย..." นนท์พูดขึ้นลอยๆในระหว่างที่กำลังเหมอมองจ้องเพดานห้องนอนของตนเอง ตอนนี้เขากำลังนอนแผ่อยู่บนเตียง ดูเหมือนกำลังใช้สมองในการครุ่นคิดอย่างหนัก
ถ้าไม่นับการชอบแอบหยิบกล้องคนอื่นไปถ่ายภาพ และเล่นเกม PC ที่เซียนขั้นเทพของเขา ... มวยปล้ำนั้นคือสิ่งที่เขาชอบมากเป็นอันดับ 1 ในใจมาตลอดตั้งแต่เด็ก ครั้งแรกที่ดันกดปุ่มเลขช่องโทรทัศน์ผิด เปิดไปเจอผู้ชายกล้ามใหญ่ใส่ชุดว่ายน้ำพยายามต่อสู้กันบนเวทีมวย ตอนแรกนนท์กลัวแทบตายว่าถ้ามีใครเดินมาเจอเขาดสิ่งนี้อยู่คงเห็นว่าเขาเป็นเด็กลามกแน่ๆ (ก็เล่นดูผู้ชายใส่ชุดว่ายน้ำนิ) แต่แล้วเมื่อเขานั่งดูสิ่งที่อยู่ตรงหน้า ดูการต่อสู้ มีการชูมือขึ้น มีเรื่องราวต่างๆ มีโชว์แสดงที่ตื่นตาตลอด ในที่สุดเขาไม่สามารถละสายตาจากจอได้ สิ่งที่อยู่ตรงหน้านี่เขาไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อน การต่อสู้แบบกอดรัดฟัดเหวี่ยงแบบนี้ มีการใช้อาวุธ มีการเล่นมุขตลกอีกตะหาก แน่นอนว่าเด็กที่เคยได้เห็นครั้งแรกต้องติดใจเป็นธรรมดา
และในที่สุด เขาก็ได้รู้จักกับ "มวยปล้ำ" มากขึ้นเมื่อนัฐได้นำแผ่นซีดีมาเปิดให้เขาดู นั้นคือแผ่านซีดีศึกใหญ่ที่เรียกว่า Pay Per View ของ WWE มาให้ดู ก่อนจะอธิบายสิ่งที่เกี่ยวกับมวยปล้ำ ไม่ว่าจะเป็นการแล้ำที่เป็นการแสดงกึ่งสมจริง การปูบทเรื่องราว เกร็ดน่ารู้ต่างๆ ในตอนแรกที่นนท์รู้ว่ามวยปล้ำเป็นการแสดงก็แอบผิดหวังในใจ เพราะคิดว่านี่มันคือของจริง การต่อสู้จริงๆซ่ะอีก แต่คำพูดที่นัฐปลอบใจน้องชายก็คือ
"ต่อให้มันเป็นแค่การแสดง ... แต่ที่เห็นเค้าปล้ำนั้นก็ของจริงนะ"นั้นแหละสิ่งที่ทำให้นนท์ยิ่งหลงไหลในมวยปล้ำมากขึ้น ... การแสดง ... แต่แสดงออกมายังไงให้เหมือนจริงล่ะ ในเมื่อเหล่านักมวยปล้ำไม่สามารถเปิดอ่านสคริปท์ดูได้เมื่อเขาขึ้นปล้ำบนเวที และจะเกิดเหตุไม่คาดฝันพวกเขาจะแก้สถานการณ์ยังไงในเมื่อมันเป็นรายการสด คำถามนี้นัฐไม่สามารถให้คำตอบได้ แต่ด้วยความที่เป็นเด็กตัวเล็กแต่สมองไว นนท์จึงได้เริ่มใช้คอมพิวเตอร์ให้เป็นประโยชน์มากขึ้น (นอกจากการเล่นเกมแล้ว) ค่อยเริ่มเซิจหาข้อมูลเกี่ยวกับมวยปล้ำมากขึ้นทั้จากในประเทศและต่างประเทศ เพราะเหตุนี้เองมวยปล้ำก็เป็นแรงบัลดาลใจให้นนท์เริ่มอยากเรียนภาษาอังกฤษมากขึ้นอีกด้วย
จากการแค่เปิดผิดช่อง ... จากความสนใจเพียงเล็กน้อย ... กลายเป็นความหลงไหลและติดตาม ไม่น่าเชื่อว่าเด็กที่วันๆดูแต่มวยปล้ำ จะกลายเป็นกูรูวงการมวยปล้ำได้แค่เพียงอยู่ชั้นมัธยมปลายเท่านั้น อาจจะเป็นที่นิสัยส่วนตัวของนนท์ที่เวลาสนใจอะไรแล้วจะใส่ใจกับมันมาก ทำให้นนท์กลายเป็นคนที่มีความรู้เรื่องมวยปล้ำสูงมาก ถ้าให้อธิบายเรื่องมวยปล้ำ ภายใน 3 วันก็คงไม่จบ นอกจากนี้นนท์ก็ยังใช้โลกไร้พรมแดนในอินเตอร์เน็ตให้เป็นประโยคด้วยการหาเพื่อนที่มีความชอบเหมือนกัน จนนัฐมีเพื่อนทั้งในและต่างประเทศที่ชอบมวยปล้ำเหมือนกัน เขาจึงสามารถคุยเรื่องมวยปล้ำแบบไม่เหงาได้ตลอดเวลาแม้มวยปล้ำจะไม่ได้รับความนิยมในไทยเลยก็ได้ตาม และทำให้เขาได้รู้ว่าแฟนมวยปล้ำนั้นไม่ได้มีแค่เด็กอย่างเดียว เขามีเพื่อนเป็นทั้งเด็กอยู่โรงเรียนประถม จนถึงผู้ใหญ่ทำงานบริษัทเรียนจบปริญญาโทแล้วก็มี
มวยปล้ำจึงกลายเป็นหนึ่งในชีวิตประจำวันของนนท์ไปโดยปริยาย ถึงแม้ในช่วงแรกๆนั้น ความชอบมวยปล้ำของนนท์นอาจจะทำให้ดูตลก ถูกหัวเราะในหมู่เพื่อน แต่ด้วยความรู้จริงนั้นทำให้เขาถูกยอมรับจากเพื่อนๆและครูบาอาจารย์เรื่องมวยปล้ำ ไม่ส่าอะไรก็ตามเขาสามารถโยงเข้าเรื่องมวยปล้ำได้หมด จนเขาสามารถดึงเพื่อนเกือบทั้งห้องของเขาให้ชอบดูมวยปล้ำแบบเขายังได้
คนที่ไม่ยอมรับ ... ก็ดูเหมือนจะมีแต่พ่อของเขาเองเนี่ยแหละ
แต่สิ่งนี่ไม่เคยเห็นอุปสรรคเลย ดีด้วยซ้ำ พอพ่อเข้าเริ่มด่ามวยปล้ำเมื่อไหร่ เขาก็จะตอบกลับพ่อตัวเองด้วยความจริงที่เขารู้ ... คนที่ศึกษาย่อมรู้มากกว่าคนที่ดูผ่านๆ ... เพราะเหตุนี้ทำให้เวลาสนทนากันเรื่องมวยปล้ำเมื่อใด นนท์จะเป็นฝ่ายได้รับชัยชนะเหนือพ่อตัวเองเสมอ มันยิ่งเพิ่มความรักในวงการมวยปล้ำของนนท์อีกเท่าตัวเลยล่ะ แต่ถึงแม้จะชอบมวยปล้ำมากแค่ไหน นนท์ก็ไม่เคยฝันไปไกลว่าจะเป็นนักมวยปล้ำเลยสักครั้ง เพราะเขารู้ว่าการเป็นนักมวยปล้ำนั้นเหนื่อยกว่าอาชีพใดๆ และแน่นอนว่าตัวเขาเป็นนักมวยปล้ำที่ดีไม่ได้แน่ๆด้วยความสูงแค่นี้ ทำให้นนท์ได้แต่ดูมวยปล้ำผ่านจอทีวีเท่านั้น
แต่ครั้งนี้ ... โอกาสกำลังเข้ามาหาเขาแล้ว
"ตื่นเต้นจังแหะ ... ไม่รู้ทางนั้นจะตอบรับว่ายังไง" นนท์ดีดตัวขึ้นมานั่งบนเตียง "ถ้าเขายอมให้เราทำงาน ... ก็เจ๋งไปเลยอ่ะดิ!!!"
"จริงๆนะ ... ไม่เคยคิดเลยแหะว่าจะได้ทำงาน มีพี่เส้นใหญ่ก็ดีแบบนี้นิเอง" นนท์ยิ้มกับตัวเอง ก่อนจะนึกอะไรสนุกๆได้ว่า "เอาไปอวดยัยวีดีกว่า"
นนท์กระโดดลงจากเตียงแล้วรีบเดินไปเปิดคอมพิวเตอร์ที่อยู่บนโต๊ะทำงานทันที ห้องนี้ความจริงไม่ใช่ห้องนอนของนนท์ แต่เป็นห้องพักสำหรับแขกของนัฐที่จะมาค้างคืนที่บ้านพักตากอากาศแห่งนี้ และตอนนี้นนท์คือแขกที่ว่า นนท์จึงขอยึดห้องนี้เป็นห้องของตนเองทันที ซึ่งนัฐก็อนุญาต
'เอาไปเถอะ ... ที่นี่ยังเหลืออีก 2 ห้อง ดีซ่ะอีกมีคนอยู่จะได้ไม่เงียบ' เขาเข้าใจแล้วว่าบ้านนี้ใหญ่แค่ไหน
'คุยอวดเลยดีกว่าว่าเราอยู่อเมริกาและกำลังจะได้ทำงานกับ WWE ยัยนั้นคงอิจฉาแน่ๆ' นนท์ยิ้มมุมปากได้ใจ กำลังจะล็อคอินเข้าเฟสบุ๊ค
'เอ๊... ไม่ดีกว่า เอาไว้เราได้งานก่อนที่กว่ามั้ง เพราะเดี๋ยวถ้าเค้าปฎิเสธมา งี้หน้าแตกหมด ไม่ได้ๆ อย่าเพิ่งคุยโว' ความคิดในหัวของนนท์กำลังตีกันไปมา จนเขาไม่ได้สังเกตว่าเฟสบุ๊คทำการล็อคอินเสร็จแล้ว และมีข้อความส่งมาถึงเขา
ดึงดึ่ง!
นนท์หันมามองที่จอภาพคอมพิวเตอร์ทันที แน่นอนสายตาของเขาจ้องไปที่กล่องข้อความทันที เขาเลื่อนเมาส์ไปที่กล่องข้อความเพื่อคลิกดูว่าใครกันที่ส่งข้อความเข้ามา
Vrawan Viiv
:: เห้ย เย็นนี้ไปตีแบตกันไหม
'ตายยากจริงๆ พูดถึงยัยวี ก็ทักเข้ามาทันทีเลยนะ' นนท์คิดในใจ ก่อนจะพิมพ์ตอบกลับไปว่า
N' Nitro
:: ไปไม่ได้ว่ะ
Vrawan Viiv
:: ไมอ่ะ มีธุระ?
'เอาไงดีล่ะ ... เรายังไม่ได้บอกใครเลยเรื่องที่หนีมาอเมริกา' นนท์คิดหนัก ... 'จะบอกยัยวีดีไหมว้าาาา'
"ยัยวี" หรือ "วี" ที่นนท์กำลังสนทนาผ่านทางอินเตอร์เน็ตนั้น ก็คือ "วีรวรรณ" เพื่อนสนิทของนนท์ ทั้งคู่รู้จักกันมาตั้งแต่สมัยม.ต้น ในตอนนั้นทั้งคู่สอบเข้ามาอยู่ในห้องคิง ห้องของเด็กหัวกะทิระดับม.ต้น ซึ่งเด็กที่จะเข้ามาได้ก็ต้องเป็นเด็กไม่ฉลาดก็ต้องเด็กเรียนจริงๆเท่านั้น ในช่วงแรกๆที่นนท์เข้ามาเรียนในห้องนี้นนท์ไม่ชอบใจเบยด้วยซ้ำ เพราะห้องนี้มีแต่เด็กที่เอาแต่เรียนๆๆๆ พอชวนคุยเรื่องเกม เรื่องการ์ตูนก็โดนหาว่าไร้สาระ ส่งเสียงดังทำอะไรฮาๆหน่อยก็โดนจับตามองโดนนินทา นนท์เกลียดสังคมแบบนี้ที่สุด ยิ่งโดยเฉพาะการเอาใจอาจารย์เพื่อให้ได้เกรดดีๆมาด้วยยิ่งแล้วใหญ่
ทำให้ในช่วงสมัยม.ต้น นนท์นั้นมีเพื่อนเพียงหยิบมือ แถมเพื่อนที่ว่านั้นก็คือ "คนที่คุยกันผ่านๆ" กันเท่านั้น ยิ่งพวกเด็กเรียนนี่นนท์แทบไม่เคยได้คุยด้วยกันเลย (ยกเว้นเรื่องงานเท่านั้น) และด้วยความที่เป็นเด็กที่ดูไม่ใส่ใจอะไร แต่เวลาเกรดออกดันได้ 4.00 ตลอดอย่างไร้สาเหตุ (มันก้ไม่ไร้สาเหตุหรอกนะ ก็ถ้าส่งงานครบแล้วหัวดี เกรดมันก็มาแล้วนิ) ทำให้พวกเด็กเรียนที่เรียนแทบตายแต่เกรดน้อยกว่านนท์ยิ่งเกิดความอิจฉา มีอะไรก็มักจะไม่ค่อยเล่าให้นนท์ฟัง อยู่ห่างนนท์ให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ... ฟังดูเหมือนโดนทิ้ง ... แต่นนท์ก็ไม่ได้ใส่ใจกับเจ้าพวกนี้เท่าใดนัก เพราะใจจริงเขาก็ไม่ได้อยากได้พวกเห็นแก่ตัวแบบนี้มาเป็นเพื่อนอยู่แล้ว
แล้วถามว่าใครคือเพื่อนสนิทที่สุดในสมัยม.ต้นล่ะ? คำตอบก็คือ ... วี
แว๊บแรกที่นนท์เห็นวี รูปร่างหน้าตาของเธอนี่มันเด็กเนิร์ดชัดๆ ผมทรงนักเรียนหญิงติ่งหู แว่นหนาเต๊อะ แต่งตัวถูกระเบียบหมดจรด ชอบแบกกระเป๋าใบใหญ่ๆขัดกับตัวเธอที่เล็ก สภาพเธอเหมาะสมที่จะอยู่ห้องคิงเป็นที่สุด และแน่นอนว่านนท์ก็คืดว่านิสัยเธอก็คงจะเหมือนเด็กเรียนคนอื่นๆ ... ผิดคาด ... วันแรกที่เข้าห้องเรียนเลือกโต๊ะเรียนนั้น
'นาย ... เราขอนั่งตรงนั้นได้ไหม?'
'หืม ... ตรงมุมเสาเนี่ยหรอ?? มันจะมองไม่เห็นเวลาอาจารย์สอนนะ'
'นั้นแหละดี ... ฉันไม่อยากให้อาจารย์เห็น ฉันจะนอนนะ'
'!?!?!'
นั้นคือบทสนทนาครั้งแรกของพวกเขา มันจบลงแค่ตรงนั้น เพราะหลังจากเริ่มเข้าชั่วโมงสอน ... วีหลับเป็นตายยันจบชั่วโมงเรียนเลย
หลังจกานั้นนนท์กับวีก็เริ่มสนิทกัน เนื่องจากวีต้องคอยให้นนท์ช่วยบังอาจารย์เวลาเธอนอน และทุกครั้งที่วีนอน นนท์ต้องคอยจดสิ่งที่อาจารย์สอนทุกอย่าง พออาจารย์ให้ทำงานนนท์ก็ต้องปลุกวีขึ้นมานั่งทำงาน และเหลือเชื่อมาก ... เธอนั่งทำงานทุกอย่างที่อาจารย์สั่งได้ทั้งๆที่เธอนอนหลับไม่ได้ฟังอาจารย์สอนเลยสักนิด เพียงแค่เอาสิ่งที่นนท์จดมาอ่านเท่านั้น นนท์จึงไม่แปลกใจเลยว่าเด็กขี้เซ้าอย่างวีถึงได้มาอยู่ห้องคิงได้ เธอฉลาดกว่านนท์อีก
'คราวหน้าถ้านายง่วงก็มานอนแทนทีฉันก็ได้นะ ... เดี๋ยวฉันจดงานให้แทนล่ะกัน' วีพูดกับนนท์ด้วยน้ำเสียงเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
และความขี้เซ้าของเธอนั้นสร้างชื่อให้เธอไว้แล้ว ครั้งหนึ่งเธอหลับเป็นตาย (เหมือนทุกครั้ง) แต่ครั้งนี้อาจารย์เป็นฝ่ายเห็นเธอหลับ แน่นอนว่าอาจารย์แก่ๆไม่มีวันทนเห็นเด็กที่กำลังสอนอยู่หลับได้
'วีรวรรณ!! ตื่นเดี๋ยวนี้เลยนะ!!!! ใครใช้ให้เธอนอนหลังในชั่วโมงเรียนกันฮ่ะ!!!!'
'คะ?? ไม่มีใครใช้หรอกคะ ... หนูอยากนอนเอง'
'นี่!!! ครูบอกให้เธอตื่นเดี๋ยวนี้ไง!!!'
'อาจารย์คะ'
'อะไร!?!'
'หนุอยากนอน เพื่อนคนอื่นอยากเรียนต่อ เพราะฉะนั้นกรุณาสอนต่อไปคะ ไม่ต้องสนใจหนู เพราะไม่ว่าอาจารยจะพูดอะไร หนูไม่สนใจอาจารย์อยู่แล้วคะ' หลังจากนั้นวีก็นอนฟุบหลับเป็นตายไม่สนใจอาจารย์ที่กำลังหวีดเหวี่ยงสุดๆ ... นนท์ได้แต่กลั้นหัวเราะและแอบสะใจไปในตัว เพื่อนคนอื่นๆก็เช่นกัน หลังวันนั้นนนท์ไปถามเรื่องนี้กับวี วีพูดให้เขาชวนคิดได้ว่า
'มันงี่เง่านะที่อาจารย์แต่ละคนคอยจับผิดและว่าเด็กที่นอนในชั่วโมงว่าไม่ตั้งใจเรียน แต่อาจารย์ไม่เคยมองย้อนดูตัวเองเลยว่าเขาสอนยังไงให้เด็กหลับได้ เนื้อหาน่าเบื่อ คนสอนยิ่งน่าเบื่อ เสียงชวนง่วงแบบนี้ไม่หลับได้ไง...' วีพูดความจริง ชั่วโมงที่เรียนนั้นตัวของนนท์เองยังเผลอหลับไปหลายครั้งเหมือนกัน
ด้วยความที่มีอะไรคล้ายๆกัน วีกับนนท์จึงสนิทกันอย่างรวดเร็ว ไปไหนมาไหนทำงานอะไรด้วยกันตลอด และด้วยนิสัยแบบนี้ทั้งคู่จึงถูกเรียกว่า "คู่สามีภรรยาบัญชีดำ" เพราะสองคนนี้ขึ้นชื่อเรื่องการตีแสกหน้าอาจารย์ แถมบางทีรับส่งมุกจนอาจารย์โกรธจนความดันขึ้น และเคยได้เข้าห้องปกครองมากันแล้ว ... เด็กห้องคิงเข้าห้องปกครอง ... เรื่องแบบนี้ไม่เคยมีมาก่อนในโรงเรียนที่ค่อนข้างมีชื่อเสียงแห่งนี้ ทั้งคู่จึงถูกพูดถึงบ่อยในโรงเรียนแม้กระทั่งรุ่นพี่ก็ตาม
และด้วยความที่ถูกล้อว่า "คู่สามีภรรยาบัญชีดำ" ทำให้ทั้งคู่ถูกว่าเป็นแฟนกันมาตลอด แต่ต่อให้เพื่อนๆจะเชียร์คู่นี้กันแค่ไหน ทั้งคู่ก็ไม่มีวี่แววจะหันมารักกันได้ ด้วยเหตุผลส่วนตัวของนนท์ว่า
'ผู้หญิงแบบวี ฉันเอาเป็นแค่เพื่อนดีกว่า ขืนเอาเป็นแฟน ... มีหวังเธอฆ่าฉันตายแน่ ผู้หญิงอะไรปากเสีย แรงความ แถมยังบ้ามวยปล้ำเหมือนกันอีก'
N' Nitro
:: จะไปได้ไงล่ะ ตอนนี้ฉันอยู่อเมริกา
Vrawan Viiv
:: !!!!
:: เห้ย จริงง่ะ!!!
N' Nitro
:: อืม ... ตอนนี้ที่อเมริกาทุ่มนึงแล้ว
Vrawan Viiv
:: สาดดดด ไปไม่ชวนนนนนน
N' Nitro
:: ชวนเชี้ยไรล่ะ ตูหนีพ่อมา
Vrawan Viiv
:: หนีพ่อ ... ทะเลาะกันอีกแล้วหรอว่ะ
N' Nitro
:: เออ รอบนี้ทะเลาะหนัก เลยหนีมา
:: แกอย่าเพิ่งไปบอกใครนะ ว่าตูหนีมา
Vrawan Viiv
:: มีใครรู้เรื่องบ้างยัง?
N' Nitro
:: ไม่มี นอกจากมริง
Vrawan Viiv
:: สาดดดดด แล้วตกลงมริงจะกลับวันไหน
N' Nitro
:: ไม่
:: ตูไม่กลับ
Vrawan Viiv
:: เห้ย!!!
:: พ่องงงง อีก 2 สัปดาห์ก็เปิดเทอมแล้วนะมริงงงง
N' Nitro
:: เดี๋ยวกูอ้างว่ากูมาเรียนต่อที่อเมริกาก็สิ้นเรื่อง
Vrawan Viiv
:: สาด พูดเหมือนเรื่องง่าย
:: แล้วจะให้ตูช่วยอะไรหรือเปล่า
N' Nitro
:: อย่าบอกพ่อว่าตูอยู่ที่นี่ อย่าบอกคนในบ้านตูเด็ดขาด
:: ถ้าจารย์ถาม ให้บอกว่าไม่รู้ ตูไม่ได้ติดต่อไป
:: ส่วนเรื่องทั้งหมด กูจะเล่าให้มริงฟังอีกที แต่มริงอย่าเอาไปเล่าให้ใครฟังเด็ดขาด
Vrawan Viiv
:: เอาเงินมาก่อน เดี๋ยวกูปิดเรื่องให้
N' Nitro
:: Fuck you!!
Vrawan Viiv
:: 55555555
:: เออๆ กูจัดการให้
N' Nitro
:: โอเค เดี๋ยวกูไปล่ะ
Vrawan Viiv
:: โอนเงินให้กูค่าปิดปาก 2 หมื่นด้วย
N' Nitro
:: หมื่นพ่องงงงงงงงงง
Vrawan Viiv
:: 5555555 เดี๋ยวตูไปทำงานบ้านล่ะ เจอกัน บ๊ายยยยย ^___^
แล้วจุดกลมๆเขียวก็หายไปจากชื่อของ Vrawan Viiv แสดงว่าเธอออกจากการสนทนาไปเรียบร้อยแล้ว
นี่คงเป็นอีกสาเหตุที่นนท์อยากให้วีเป็นแค่เพื่อน ไม่อยากให้มาเป็นแฟน ‘ผู้หญิงอะไร ปากเสียแบบนี้’ นนท์ส่ายหน้า ก่อนจะปิดหน้าจอการสนทนา แล้วเริ่มท่องเฟสบุ๊ก แต่แล้วก็มีข้อความส่งเข้ามาบนหน้าวอล์ของเขา
นนท์เปิดดู ก็พบข้อความขึ้นว่า
Vrawan Viiv >> N' Nitro
>> สองหมื่นนะ ^3^
สองหมื่นพ่องงงงงงงงงงงงงงงงงงงง