----------------------------------------------------
เสียงกระทบกันของแก้วหลายใบดังเกร๊งกร๊างไปทั่วห้องโถงทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า เจ้าหน้าที่ทุกคนในห้องต่างยกแก้วขึ้นมาชนกัน ที่นี่คือห้องอาหารขององค์กรโกสท์ฮันเตอร์ที่ดูคึกคักกว่าทุกที เพราะเจ้าหน้าที่ทุกคนต่างพากันฉลองให้กับการกลับมาของหม่าม้าของชั้น ทำให้ชั้นรู้ว่าหม่าม้าเป็นคนที่ฮอตเหมือนกัน และท่าทางใครๆก็ต่างให้ความเคารพหม่าม้าเอามากๆ
รู้สึกภูมิใจนิดๆที่มีคุณแม่เก่ง...
หม่าม้าบอกชั้นว่าจริงๆหม่าม้าก็ไม่ได้ต้องการงานฉลองการกลับมาอะไรยิ่งใหญ่มากมายเท่าไหร่นัก เพราะคิดว่ามันเป็นการสิ้นเปลืองเปล่าๆ แต่สุดท้ายหม่าม้าก็ยอมเพราะเห็นว่าทุกคนต่างเต็มใจที่จะจัดงานให้และไม่มีใครลำบากอะไรกันมากนัก
ชั้นเหลือบไปเห็นมิสะนั่งจิบไวน์อย่างมีรสนิยม จริงๆชั้นไม่รู้เรื่องไวน์หรอกแต่ชั้นคิดว่ามันคงเป็นไวน์ที่แพงและมีคุณภาพแน่ๆ มาโมรุก็ยังคงเอกลักษณ์เดิมๆด้วยการสวมชุดว่ายน้ำ ทำให้ตกเป็นเป้าสายตาของหนุ่มๆซึ่งชั้นก็ไม่เข้าใจว่าคนที่นี่ยังไม่ชินกันอีกหรือยังไง? ส่วนคนอื่นๆก็ต่างตักอาหารที่วางเรียงรายเหมือนบุฟเฟ่ต์ตามโรงแรมไม่มีผิด หรือบางทีอาจจะดูหรูหรากว่าด้วยซ้ำ ดูจากอาหารบางชนิดที่น่าจะมีราคาสูงพอสมควร ชั้นแอบคิดว่าองค์กรไปเอาอาหารดีๆแบบนี้มาจากไหนตั้งเยอะแยะกันนะ
“เป็นอะไรหรือเปล่าโนโดกะจัง?” หม่าม้าของชั้นเดินเข้ามาหาพร้อมโอโคโนมิยากิเต็มจาน เหมือนจะมีพ่อครัวทำอาหารให้สดๆ จำพวกทาโกะยากิ โอโคโนมิยากิ ให้กินกันตรงนั้น เพราะอาหารพวกนี้ถ้าทำทิ้งไว้รสชาติมันจะไม่ค่อยดีเท่าไหร่
“เอ๋? เปล่านี่คะ ไม่ได้เป็นอะไร ทำไมหรอคะ?” ชั้นตอบ ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าหม่าม้าเห็นอะไรผิดปกติในตัวชั้นหรือเปล่า หรือว่ามีผักชีติดฟัน?
“อ๋อ... ก็เห็นลูกไม่กินอะไรเลยนี่?”
“เอ่อ... กำลังนั่งคิดอะไรเพลินๆอยู่น่ะค่ะ” ถ้าจะว่ากันจริงๆชั้นไม่ค่อยชอบที่จะไปเบียดแย่งเจ้าหน้าที่คนอื่นๆเท่าไหร่ ชั้นกะจะรอให้คนที่ยืนตักอาหารเหลือน้อยๆก่อนแล้วค่อยไป
“งั้นกินนี่หน่อยไหม?” หม่าม้ายื่นจานโอโคโนมิยากิให้ ชั้นพยักหน้าแล้วใช้ตะเกียบตัดแล้วคีบขึ้นมากินหนึ่งคำ
“ไม่คิดเลยนะคะว่าหม่าม้าจะดูฮอตขนาดนี้”
“ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก” นี่แหละคือนิสัยหม่าม้า ชอบพูดจาถ่อมตัวอยู่เรื่อย
“หนูยังไม่ได้ถามหม่าม้าเลย... ทำไมหม่าม้าถึงเข้ามาอยู่ที่นี่?” ชั้นตั้งคำถามที่ยังไม่ได้ถามตอนเจอกับหม่าม้าอีกครั้งในวันก่อน ตอนนั้นชั้นได้รู้ว่าหม่าม้าเป็นเจ้าหน้าที่โกสท์ฮันเตอร์ตั้งแต่ชั้นยังไม่เกิด ไม่สิ ต้องบอกว่าตั้งแต่หม่าม้ากับป๊ะป๋ายังไม่เจอกันเลยด้วยซ้ำ ชั้นก็ไม่เข้าใจนักว่าทำไมหม่าม้าถึงต้องมาเสี่ยงอันตรายกับการต่อสู้กับสิ่งเหนือธรรมชาติพวกนี้ด้วยนะ?
“ไม่รู้สิ...” หม่าม้าตอบหลังจากที่เงียบอยู่สักพัก
“คงเพราะความสามารถของหม่าม้าที่มีตั้งแต่เกิดล่ะมั้ง สัมผัสที่หก... มันเหมือนกับเป็นพลังที่บีบบังคับให้หม่าม้าต้องปฏิบัติหน้าที่เพื่อช่วยเหลือมนุษย์จากพวกวิญญาณร้าย... เปรียบเทียบง่ายๆก็คงเหมือนกับซุปเปอร์ฮีโร่ในการ์ตูนที่โนโดกะจังเคยดูตอนเด็กๆนั่นแหละ ฮีโร่ที่มีพลังพิเศษก็ต้องช่วยเหลือโลก เพราะถ้าเขาไม่ทำ ก็ไม่มีใครทำ”
“บอกตรงๆว่าหม่าม้าไม่อยากให้ความสามารถนี้ตกทอดไปยังลูกเลย เพราะถ้าเป็นแบบนั้นลูกก็ต้องมีชะตากรรมเดียวกับหม่าม้า หม่าม้าไม่อยากให้ลูกต้องมาเสี่ยงอันตราย... พลังแบบนี้ให้หม่าม้ามีคนเดียวก็พอแล้ว ให้หม่าม้าเป็นผู้แบกรับภาระนี้คนเดียวก็พอ”
“ไม่หรอกค่ะหม่าม้า” ชั้นพูดขึ้นหลังจากที่ชั้นฟังคำตอบของหม่าม้าอยู่นาน ชั้นเข้าใจดี หม่าม้าไม่อยากให้ชั้นต้องมามีความสามารถพิเศษอะไรแบบนั้น เพราะหม่าม้ารักชั้นมาก ไม่อยากให้ชั้นต้องเป็นอะไรไป หม่าม้าอยากที่จะเป็นผู้แบกรับภาระทุกอย่างด้วยตัวเอง
“หนูไม่ยอมให้หม่าม้าต้องไปเสี่ยงอันตรายคนเดียวหรอกค่ะ” แต่เหมือนหม่าม้าลืมไปว่าชั้นเองก็รักหม่าม้ามากเหมือนกัน ชั้นไม่ยอมที่จะให้หม่าม้าต้องมาแบกรับภาระแบบนี้คนเดียวแน่นอน ดังนั้นไม่ว่าชั้นจะต้องไปเสี่ยงอันตรายสักเท่าไหร่ ชั้นก็ยอม ต่อให้ชั้นจะไม่มีพลังพิเศษอะไรเลยก็ตามที...
“หนูเป็นลูกของหม่าม้า ลูกที่ดีต้องช่วยเหลือพ่อแม่ใช่ไหมคะ? ดังนั้นไม่ว่ายังไงหนูก็จะช่วยแบ่งเบาภาระของหม่าม้า และพร้อมที่จะเสี่ยงอันตรายไปพร้อมหม่าม้าเองค่ะ” ชั้นพูดอย่างมุ่งมั่น หม่าม้าดูเหมือนอึ้งไปนิดๆ ก่อนที่จะยิ้มให้ชั้นอย่างอ่อนโยน
“แข็งแกร่งขึ้นเยอะเลยนะ โนโดกะจัง” หม่าม้าลูบหัวชั้นอย่างเอ็นดู
หลังจากนั้นตาลุงเชนก็เดินเข้ามาหาชั้นกับหม่าม้า ใบหน้าของตาแก่ใจดีเปื้อนยิ้มทำให้ชั้นชอบนึกถึงตอนที่ตาลุงแกล้งจ้อภาษาอังกฤษกับชั้นที่รีสอร์ท เล่นเอาชั้นหัวปั่นไปพอสมควร
“ดูอบอุ่นกันดีจริงๆเลยนะ” ตาลุงเชนพูดขึ้น
“ผมไม่คิดเลยนะว่าโนโซมิจะเป็นคุณแม่ของโนโดกะ” เอ่อ... อย่าบอกนะที่คิดแบบนั้นเพราะชั้นกับหม่าม้าฝีมือต่างกันราวฟ้ากับเหวแบบที่มิสะเคยพูดไว้ แต่ก็เอาเถอะนะ...
“โนโดกะ ยังจำคำพูดผมที่รีสอร์ทได้หรือเปล่า?”
“อ๋อ... ที่ปั่นหัวชั้นด้วยภาษาอังกฤษสินะคะ” บอกตรงๆนึกออกแต่เรื่องนี้แหละ พับผ่าสิ
“ไม่ใช่อย่างนั้น” ลุงเชนขำ
“ที่ผมเคยบอกว่าเธอต้องเป็นสุดยอดเจ้าหน้าที่เหมือนคนๆนั้นได้แน่ๆ” ลุงเชนกล่าว ชั้นพอจำได้รางๆ
“คนๆนั้นที่ผมว่าก็คือคุณแม่ของเธอนี่แหละ ตอนนี้ผมก็ยังคิดอยู่นะว่าเธอจะเป็นแบบคุณแม่ของเธอได้” ชั้นยิ้มและพยักหน้าตามน้ำแม้จริงๆยังจำไม่ค่อยจะได้ก็เถอะ
“ขอโทษที่มารบกวน พอดีเวลาผมเห็นครอบครัวที่ดูอบอุ่นแล้วมันอดใจไม่ได้... เอ่อ ช่างมันเถอะ” จู่ๆลุงเชนก็พูดจาแปลกๆแล้วเดินจากไป ชั้นทำหน้างงๆเหมือนกำลังดูอนิเมะที่โดนตัดจบแบบปาหมอน
“เชนเขาเคยเสียครอบครัวที่อบอุ่นไปในอดีตน่ะ” หม่าม้าเริ่มเล่าเบื้องหลังของคุณลุงเชน เหมือนรู้ว่าชั้นกำลังสงสัยเรื่องอะไรอยู่
“เวลาเขาเห็นครอบครัวที่ดูอบอุ่นบางทีก็ทำให้เขานึกถึงเรื่องอดีต อย่าไปถือสาอะไรเขาเลยละกัน” คำบอกเล่าของหม่าม้าทำให้ชั้นแทบไม่อยากจะเชื่อว่าคุณลุงที่มีท่าทางอารมณ์ดีแบบนั้นจะเคยมีอดีตน่าเศร้ามาก่อน
“อีกอย่าง อย่าไปพูดเรื่องนี้กับเชนเขาล่ะ” หม่าม้าเอานิ้วชี้จรดที่ริมฝีปากประมาณว่าจุ๊ๆอย่าพูดนะ
ทันใดนั้นจู่ๆทุกคนก็ต่างยืนขึ้นโดยไม่ได้นัดหมาย...
รวมทั้งชั้นและหม่าม้าก็ต่างยืนขึ้น... เพราะรู้สึกถึงอันตรายบางอย่าง บรรยากาศอบอุ่นเมื่อครู่หายไปโดยสิ้นเชิง เสียงผู้คนภายในห้องพุดคุยกันเสียงดังเซ็งแซ่
ความรู้สึกแบบนี้มัน...
“บ้าน่า... นี่พวกเราหลุดเข้ามาในมิติวิญญาณหรือนี่?” ชั้นไม่เคยเห็นมิสะมีสีหน้าแบบนี้มาก่อน เธอดูประหลาดใจเป็นอย่างมาก ทั้งๆที่เธอน่าจะเป็นคนที่เจออะไรผิดปกติแบบนี้มาเยอะแท้ๆ
อย่างกับว่าไม่มีใครเคยเจออะไรแบบนี้มาก่อนยังไงยังงั้น??
อย่างไรก็ตาม ไม่มีเวลามาตกใจนานนัก เพราะพวกวิญญาณเริ่มโผล่เข้ามาจากรอบทิศทาง แน่นอนว่าเจ้าหน้าที่ทุกคนต่างมาที่นี่เพื่อเฉลิมฉลองการกลับมาของหม่าม้า จึงไม่มีใครพกอาวุธติดตัวเลยซักคน ตอนนี้ชั้นเริ่มเห็นเจ้าหน้าทีบางคนถูกวิญญาณเข้าจู่โจม บางคนก็พยายามต่อสู้ไปตามมีตามเกิด หม่าม้ากอดชั้นไว้ในอ้อมแขนแน่น พร้อมกวาดสายตาไปรอบๆอย่างระแวดระวัง เสียงร้องอันเจ็บปวดซึ่งชั้นคิดว่าเกิดจากฝีมือของวิญญาณพวกนั้นดังระงมไปทั่ว ชั้นได้ยินเสียงฝีเท้าเหมือนคนกำลังวิ่งหนีตายอย่างอลหม่าน แต่ชั้นไม่อาจจะเห็นภาพดังกล่าวได้ในมุมที่อยู่ในอ้อมกอดของหม่าม้าแบบนี้
หม่าม้าพยายามพาตัวชั้นออกจากบริเวณที่เสี่ยงอันตราย ชั้นได้ยินเสียงผลักประตู จากนั้นชั้นก็มารู้สึกตัวอีกทีว่าอยู่ข้างนอกห้องอาหารแล้ว โดยที่ชั้นไม่รู้เลยว่าเจ้าหน้าที่แต่ละคนที่ยังติดอยู่ในห้องอาหารนั้นเป็นตายร้ายดียังไง ชั้นอดเป็นห่วงไม่ได้ว่าคนที่ชั้นรู้จักมักคุ้นที่ยังติดอยู่ในนั้นจะเป็นอันตรายหรือเปล่า? จะเอาตัวรอดได้หรือเปล่า?
“เพิ่งกลับมาก็งานเข้าซะแล้ว” หม่าม้าพูดแบบขำๆ ซึ่งตอนนี้คงไม่มีใครขำออก
“รออยู่นี่ก่อน” หม่าม้าพูดพร้อมผละชั้นออกจากอ้อมแขน หม่าม้าพยายามจะเดินกลับเข้าไปในห้องอาหาร ชั้นพยายามร้องห้ามแต่ไม่ทัน หม่าม้าเข้าไปข้างในเสียแล้ว ชั้นคิดว่าคงจะไปช่วยคนอื่นๆที่อยู่ข้างใน แต่ลำพังหม่าม้าคนเดียวจะช่วยไหวได้ยังไง?
เมื่อชั้นคิดดังนั้นก็เดินเข้าไปในห้องอาหารอีกครั้งโดยไม่สนใจเลยว่าห้องอาหารในตอนนี้ก็คงไม่ต่างอะไรกับสงครามขนาดย่อม...
----------------------------------------------------
มิคาโดะปล่อยหมัดตรงข้างขวาที่สวมสนับมือเข้าไปที่วิญญาณตรงหน้าจนกระเด็นไปไกล ไม่มีใครรู้ว่าทำไมเขาถึงพกสนับมือในช่วงเวลาผ่อนคลายแบบนี้ บางทีอาจจะมีที่มาจากเหตุการณ์การโจมตีของฝูงมาริออนเน็ตเมื่อตอนไปพักผ่อนที่รีสอร์ท ว่าอันตรายมันมาได้แทบทุกที่ทุกเวลา และมักจะมาในยามที่ไม่ทันตั้งตัวเสมอ
แม้เขาจะเคยบอกว่ามีแต่คนบ้าเท่านั้นที่พกอาวุธในเวลาผ่อนคลายแบบนี้ แต่ในสถานการณ์แบบนี้ก็คงต้องยอมเป็นคนบ้าแหละนะ...
เจ้าหน้าที่หลายคนเริ่มเสียท่าให้กับเวนเดททร้าที่บุกเข้ามา หมอจุน นายแพทย์ประจำองค์กรจึงต้องรับหน้าที่เป็นแพทย์สนามคอยปฐมพยาบาทเบื้องต้น แต่ผู้บาดเจ็บอันมากมายนั้นเขาไม่สามารถรับหน้าที่นั้นไหวแม้จะมีเจ้าหน้าที่ห้องพยาบาลคนอื่นๆคอยเป็นลูกมือให้อยู่บ้าง ทำให้เจ้าหน้าที่บางคนทนพิษบาดแผลไม่ไหวและเสียชีวิตไปทันที หมอจุนเมื่อเห็นการเสียชีวิตของเจ้าหน้าที่บางคนต่อหน้าต่อตาทำให้เขากัดฟันกรอดพลางคิดโทษตัวเองที่ทำหน้าที่ไม่ดีพอ
ในขณะที่เจ้าหน้าที่บางคนก็สามารถเอาตัวรอดและออกจากห้องอาหารได้สำเร็จ หนึ่งในนั้นมีมิโนริและเวอร์ดี้ที่โนบุฮิเดะใช้ร่างกายอันสูงใหญ่กำยำของเขาช่วยเหลือเธอทั้งสองไว้ ในขณะที่ตนเองพยายามใช้ท่อนแขนที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อเป็นมัดๆซัดเข้าใส่เวนเดททร้าที่เข้ามาใกล้เพื่อให้มิโนริและเวอร์ดี้หนีออกไปได้อย่างปลอดภัย แม้สองสาวจะออกจากสนามรบขนาดย่อมแห่งนี้ได้แต่เขาก็ยังคงอยู่ที่นี่ต่อไปเพื่อหวังจะช่วยเหลือคนอื่นๆเท่าที่ตนเองจะทำได้
โนโซมิที่เพิ่งพาลูกสาวของตัวเองออกไปข้างนอกกลับเข้ามาอีกครั้ง เธอพยายามพยุงโซระ ห้องสมุดเคลื่อนที่ประจำองค์กรที่ดูเหมือนจะถูกเวนเดททร้าเข้าเล่นงานเล็กน้อยแต่ก็ไม่น่าจะบาดเจ็บสาหัสมากนัก ทันใดนั้นแขนอีกข้างของโซระก็ถูกหิ้วปีกโดยบุคคลที่เขาเพิ่งช่วยไปอย่างโนโดกะลูกสาวของเธอเอง ทำให้โนโซมิถึงกับตกใจที่เห็นลูกสาวของตัวเองกลับเข้ามาในสมรภูมิเลือดอีกครั้ง
“โนโดกะจัง!! ลูกเข้ามาทำไม!!” โนโซมิถามด้วยสีหน้าและน้ำเสียงที่ตื่นตระหนก
“หม่าม้าคนเดียวช่วยไม่ไหวหรอก!! ให้หนูช่วยอีกแรงเถอะ!!” โนโดกะพูดพร้อมพยายามพยุงโซระขึ้นมา
“แต่ที่นี่มันอันตรายเกินไปนะ ถ้าลูกเป็นอะไรไป...”
“หนูก็ไม่ยอมให้ม่าม้าเป็นอะไรไปเหมือนกัน!!” โนโดกะตะโกนลั่น โนโซมินิ่งไปชั่วครู่
“หม่าม้าบอกว่าตอนนี้หนูแข็งแกร่งขึ้นกว่าแต่ก่อนแล้วไม่ใช่หรอ เชื่อใจหนูเถอะค่ะ หนูทำได้” โนโดกะยืนกราน พลางพยายามช่วยโนโซมิหิ้วปีกโซระออกมาจากสมรภูมิจนโซระออกมาข้างนอกห้องได้สำเร็จ โนโดกะมองหน้าคุณแม่ของเธอ ดวงตาของเธอมีความมุ่งมั่นจนโนโซมิสามารถสัมผัสมันได้ โนโซมิหลับตาลงและพยักหน้าช้าๆ
“เข้าใจแล้ว... ไปช่วยทุกคนข้างในต่อกันเถอะ โนโดกะจัง” โนโซมิกล่าวพร้อมรอยยิ้มจางๆบนใบหน้า เช่นเดียวกับโนโดกะที่ยิ้มให้เธอกลับและพยักหน้าอย่างมั่นใจ
“อื้ม!!”
----------------------------------------------------
ชายภายใต้หน้ากากรูปร่างประหลาดยืนนิ่งอยู่ภายในห้องที่เต็มไปด้วยเครื่องไม้เครื่องมือแปลกๆขนาดต่างๆวางอยู่เรียงราย ภายในห้องมืดสนิท มีเพียงแสงไฟที่ฉายส่องตรงบริเวณที่ชายสวมหน้ากากยืนอยู่ ตรงหน้าของเขาเป็นแคปซูลขนาดยักษ์ ข้างในบรรจุหญิงสาวที่ร่างกายไม่สมประกอบ มีเพียงใบหน้าอันสะสวยของเธอเท่านั้นที่ดูปกติดี ในขณะที่ร่างกายบางส่วนของเธอสูญหายไป ช่วงลำตัวของเธอดูเหมือนถูกแหวกออกแต่กลับไม่มีเลือดหรือแม้กระทั่งอวัยวะภายใน แต่ถูกแทนที่ด้วยแผงวงจรกับสายไฟระโยงระยางแทน มันเหมือนกับแผงวงจรภายในเครื่องคอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์อิเล็คทรอนิกส์หรืออะไรที่มันคล้ายๆแบบนั้น
แน่นอนว่าหญิงสาวคนนี้ไม่ใช่มนุษย์ แต่เธอคือปัญญาประดิษฐ์ที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อช่วยเหลือเจ้าหน้าที่โกสท์ฮันเตอร์โดยเฉพาะ เธอมีชื่อว่า โมเดล เซต้า นั่นเอง หลังจากที่เธอใช้ระเบิดคามิคาเซ่พลีชีพเพื่อจัดการกับวิญญาณเมื่อวันก่อนก็ทำให้ร่างกายของเธอถูกทำลายเหลือเพียงชิ้นส่วนที่ถูกแยกออกจากกัน และตอนนี้เธอก็กำลังอยู่ในกระบวนการซ่อมแซมเพื่อให้กลับมาเป็นเหมือนเดิมโดยชายสวมหน้ากากหรือคิจภัค นักวิทยาศาสตร์และเจ้าหน้าที่ประจำฝ่ายพัฒนาอาวุธและอุปกรณ์
“อืม... จะเสริมหน้าอกให้ใหญ่ขึ้นอีกดีไหมน้า...” คิจภัคพูดขึ้นมาลอยๆ
“เธอคิดว่าไงล่ะเซต้า อยากหุ่นดีขึ้นหรือเปล่า? หืม? ทำไมไม่ตอบล่ะ? หยิ่งชะมัดเลย” แน่นอนว่าหุ่นยนต์หญิงสาวตรงหน้าของคิจภัคยังไงๆก็ไม่มีทางตอบเขาแน่ๆเพราะยังซ่อมไม่เสร็จ ตอนนี้เขาเลยดูเหมือนพูดอยู่คนเดียวซะมากกว่า
“เอ็นสึเกะ นายคิดว่าไงล่ะ?” คิจภัคพูดกับบุคคลอีกคนหนึ่งซึ่งยืนอยู่ในเงามืดจนไม่มีใครมองเห็นถ้าไม่สังเกตดีๆ ด้วยเหตุนั้นทำให้ชายสวมหน้ากากจึงดูเหมือนบ่นอยู่คนเดียว จนกระทั่งเอ็นสึเกะเดินเข้ามาในบริเวณที่มีแสงไฟส่องทำให้มองเห็นชายหนุ่มผมสีออกขาวๆพร้อมสวมแว่นดำอันเป็นเอกลักษณ์
“แล้วแต่” เอ็นสึเกะตอบแบบไม่ใส่ใจกับคำถามของคิจภัคสักเท่าไหร่ สีหน้าของเขาดูไม่ค่อยมีอารมณ์ร่วมมากนัก แต่ถึงกระนั้นคิจภัคก็ไม่ได้สนใจกับท่าทีดังกล่าวและหันกลับไปจดจ่อกับร่างของเซต้าที่เตรียมจะถูกซ่อมแซมต่อ พร้อมทั้งกดปุ่มบางอย่างที่แผงควบคุมทางด้านขวามือของเขา ทำให้แคปซูลเคลื่อนที่จากแนวตั้งเป็นแนวนอน ประตูกระจกแคปซูลถูกเปิดออกพร้อมร่างของเซต้าที่ถูกยกขึ้นมา ทำให้ตอนนี้แคปซูลมีลักษณะคล้ายกับเตียงที่มีร่างของเซต้านอนอยู่ พร้อมทั้งโต๊ะอุปกรณ์ที่คาดว่าเอาไว้สำหรับซ่อมแซมเซต้าก็ถูกเลื่อนออกมาจากด้านข้างของหลอดแคปซูล
"เสริมอีกซักหนึ่งนิ้วแล้วกัน" คิจภัคพูดแล้วทำท่าจะลงมือซ่อมแซมเซต้าแต่ก็ต้องหยุดชะงัก
“หืม? นั่นใครน่ะ” คิจภัคพูดออกไปเมื่อรู้สึกถึงใครบางคนหรืออะไรบางอย่างที่กำลังเข้ามา เอ็นสึเกะก็เหมือนจะรู้สึกได้เช่นกัน เอ็นสึเกะหันไปมองรอบๆในขณะที่คิจภัคยังคงยืนนิ่งแม้รู้ว่ากำลังมีอะไรเข้ามา ใบหน้าภายใต้หน้ากากของเขายังคงทำให้คาดเดาได้ยากเสมอว่าเขามีสีหน้าอย่างไร
สิ่งที่คืบคลานเข้ามาภายในห้องปรากฏขึ้นและพบว่ามันก็คือเวนเดททร้าตัวหนึ่ง มันพุ่งเข้าใส่เอ็นสึเกะซึ่งเขาก็หลบได้อย่างสบายๆ ก่อนที่เวนเดททร้าตัวนั้นจะเปลี่ยนเป้าหมายเป็นคิจภัคที่ยังยืนนิ่งแม้รู้ว่ามีอันตรายเข้ามาใกล้ มันพุ่งเข้าไปหาเขาอย่างรวดเร็ว แต่ทว่าคิจภัคที่ยืนนิ่งมาตั้งแต่แรกและดูเหมือนไม่สนใจสิ่งแวดล้อมโดยรอบตวัดแขนขึ้นมาอย่างรวดเร็วพร้อมเส้นเอ็นที่พุ่งเข้าใส่เวนเดททร้าที่พุ่งเข้ามา ฉับพลันเส้นเอ็นนั้นก็เหมือนมีกระแสไฟฟ้าวิ่งผ่านไปยังเวนเดททร้าตัวดังกล่าวอย่างรวดเร็ว ทำให้ร่างของมันกระตุกเพราะถูกช็อตด้วยกระแสไฟฟ้า
“เสียมารยาทจริงๆ ก่อนเข้ามาเคาะประตูด้วยสิ” คิจภัคพูดก่อนที่จะกระตุกเส้นเอ็นดังกล่าวกลับเข้าตัวพร้อมๆกับเวนเดททร้าตัวดังกล่าวที่ร่วงหล่นสู่พื้นดิน เส้นเอ็นพิฆาตหดกลับเข้าสู่อุปกรณ์ชิ้นหนึ่งในมือของคิจภัค เผยให้เห็นว่าอุปกรณ์ในมือของคิจภัคคือเครื่องยิงไฟฟ้าเล็กจิ๋วขนาดประมาณเท่าฝ่ามือ
“บทลงโทษของผู้ที่มาขัดขวางการทำงานของผม” คิจภัคพูดพร้อมมองดูเวนเดททร้าตัวดังกล่าวสลายไปต่อหน้าต่อตา เหมือนเช่นเคย ยังคงไม่อาจทราบได้ว่าเขามีสีหน้าอย่างไร แต่ดวงตาซึ่งเป็นอวัยวะส่วนเดียวบนใบหน้าของเขาที่สามารถมองเห็นได้นั้นจ้องมองวาระสุดท้ายของเวนเดททร้าอย่างสะใจเป็นที่สุด
“คนอะไรไม่รู้เท่ชะมัด” จากท่าทีเงียบขรึมของคิจภัคแปรเปลี่ยนเป็นท่าทีลิงโลดพร้อมชมตัวเองเป็นระยะๆ เอ็นสึเกะที่มองดูอยู่ในท่าทีเรียบเฉยเช่นเดิมราวกับว่าชินกับพฤติกรรมประหลาดผู้ร่วมห้องรายนี้ไปเสียแล้ว
ท่าทีกระโดดโลดเต้นของคิจภัคหยุดลงเมื่อเห็นเวนเดททร้าที่ปรากฏตัวออกมาอีกครั้ง แต่คราวนี้ไม่ใช่แค่หนึ่ง แต่มีจำนวนเกือบสิบ ดูท่าทางเครื่องยิงไฟฟ้าของคิจภัคเพียงอันเดียวไม่น่าจะรับมือกับศัตรูตรงหน้าไหว เอ็นสึเกะจึงดึงมีดสั้นที่เขาพกไว้ขึ้นแล้วควงไปมา เป็นสัญญาณว่าเขาก็เตรียมพร้อมที่จะช่วยต่อสู้กับเวนเดททร้าที่อยู่ตรงหน้าเช่นกัน
“เอาล่ะ พร้อมแล้วสินะเอ็นสึเกะ” คิจภัคถามความพร้อม แต่คู่สนทนาของเขาก็ไม่ได้โต้ตอบอะไร
“สู้เพื่อ เอ่อ... ปกป้องหน้าอกของเซต้า” คิจภัคพูดขึ้นโดยที่เอ็นสึเกะส่ายหน้าเบาๆกับคำพูดบ้าๆบอๆของนักวิทยาศาสตร์เพี้ยน พร้อมวิ่งลุยนำหน้าเข้าไปต่อกรกับเวนเดททร้าตรงหน้า
----------------------------------------------------
โนโซมิและโนโดกะช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ที่อยู่ในสมรภูมิออกมาเท่าที่พวกเธอจะช่วยได้ แม้ว่าจะมีเจ้าหน้าที่บางคนเสียท่าให้กับวิญญาณไปมากมายแต่ก็ยังดีกว่าช่วยใครไม่ได้เลย ตอนนี้เจ้าหน้าที่คนสำคัญต่างปลอดภัยกันหมด ทั้งมิสะ มาโมรุ มิคาโดะ เรียว เกล เชน โนบุฮิเดะ รวมทั้งแอชลีย์ ทางด้านโซระที่บาดเจ็บอยู่ภายใต้การดูแลของหมอจุน และเวอร์ดี้กับมิโนริซึ่งถูกโนบุฮิเดะช่วยเหลือมาก่อนหน้านี้ก็ได้หนีออกไปจากบริเวณนี้ไปก่อนแล้ว ซึ่งไม่มีใครรู้ว่าเธอทั้งสองคนไปไหนแต่คาดว่าคงปลอดภัยดี
ประตูห้องอาหารถูกปิดกั้นไว้แม้ว่าภายในยังมีเจ้าหน้าที่บางคนที่อาจจะยังมีลมหายใจอยู่ แต่ทุกคนก็ต้องจำใจทำแบบนั้นถ้าต้องการจะช่วยเหลือคนหมู่มาก แน่นอนว่าไม่มีใครที่จะยอมให้เพื่อนร่วมองค์กรต้องมาเสียชีวิต แต่ตอนนี้ทุกคนไม่สามารถจะทำอะไรได้ไปมากกว่าการไว้อาลัยให้แด่เจ้าหน้าที่ที่เสียชีวิตไป
“ไม่มีทางที่ศูนย์บัญชาการจะหลุดเข้าไปในมิติวิญญาณได้ มันต้องเกิดอะไรขึ้นซักอย่าง” มิสะยังคงประหลาดใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เพราะที่ผ่านมาแม้แต่วิญญาณยังไม่สามารถบุกรุกเข้ามาในองค์กรได้เพราะที่นี่มีระบบป้องกันการรุกล้ำของวิญญาณเป็นอย่างดี ดังนั้นการที่สถานการณ์เลยเถิดมาจนถึงการหลุดเข้ามาในมิติวิญญาณนั้นต้องมีอะไรที่มันผิดปกติเกิดขึ้นแน่ๆ
“ชั้นว่ามันต้องเป็นฝีมือของเจ้าหน้าที่ด้วยกันเอง เอ็นสึเกะจากหน่วยเดลต้าน่าสงสัยที่สุด หมอนั่นเคยพูดว่าเคยอ่านตำราคาถาเกี่ยวกับวิญญาณ หมอนั่นต้องใช้คาถาที่ทำให้พวกเราไปติดอยู่ในมิติวิญญาณแน่ๆ” เรียวพยายามตั้งข้อสันนิษฐานเพื่อกล่าวโทษเอ็นสึเกะ แม้จริงๆเขาเคยบอกว่าไม่เชื่อเรื่องปาหี่อย่างพวกตำราคาถาก็ตาม
“อย่าเพิ่งโทษใครแบบไม่มีหลักฐานสิ” เชนเตือน นี่เป็นอีกครั้งที่เชนพยายามจะหยุดเรียวที่มีความคิดค่อนข้างอคติกับเอ็นสึเกะ แต่ถึงกระนั้นเรียวก็ไม่ตอบหรือพูดอะไรต่อเพียงแต่เงียบไปเท่านั้น
“ผมจะพาผู้บาดเจ็บไปที่ห้องพยาบาลก่อน” หมอจุนพูดขึ้นพร้อมพยุงโซระที่บาดเจ็บอยู่ขึ้นมา
“แล้วพวกคุณจะเอายังไงกันต่อ?” หมอจุนถามต่อ
“พวกเราไม่มีอาวุธ... ยังไงๆตอนนี้เราต้องไปที่ห้องเก็บอาวุธกันก่อน” มาโมรุออกความเห็น
“แต่มันต้องผ่านห้องโถงหลัก ชั้นว่าเวนเดททร้าน่าจะเพ่นพ่านที่นั่นเยอะแน่ๆ” มิสะกล่าว
“แต่ถ้าเราเดินร่อนไปมาในสภาพไม่มีอาวุธมันก็ไม่มีประโยชน์อะไร... ยังไงมันก็ต้องลุยแล้วล่ะ” โนโซมิเสริม
“แอชลีย์ไปช่วยหมอจุนแล้วกันนะ” มิสะบอกกับแอชลีย์ เธอเองเป็นแค่เจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์ ดังนั้นเธอไม่สมควรที่จะไปลุยกับเหล่าเวนเดททร้ามากนัก แม้ว่าการที่เธอสามารถหนีออกมาจากห้องอาหารโดยไม่บาดเจ็บจะแสดงให้เห็นว่าเธอน่าจะมีทักษะการเอาชีวิตรอดพอสมควรก็ตาม
“ค่ะ” แอชลีย์ตอบ พร้อมพยายามไปช่วยพยุงผู้บาดเจ็บคนอื่นๆ
“ถ้างั้นผมขอเคลื่อนย้ายผู้บาดเจ็บไปที่ห้องพยาบาลก่อน” หมอจุนพูดจบก็พยุงโซระไปที่ห้องพยาบาล เจ้าหน้าที่ห้องพยาบาลคนอื่นๆก็ทยอยพาผู้บาดเจ็บตามไป รวมทั้งแอชลีย์ที่พยายามช่วยหมอจุนเคลื่อนย้ายผู้บาดเจ็บเช่นกัน นับว่าโชคดีที่องค์กรมีห้องพยาบาลอีกห้องซึ่งไม่ต้องเดินผ่านห้องโถงหลัก แม้ว่าจะเป็นห้องพยาบาลขนาดเล็กที่ไม่มีอุปกรณ์มากเท่าห้องพยาบาลอีกห้อง แต่ก็ยังดีกว่าพาผู้บาดเจ็บไปเสี่ยงกับเวนเดททร้าที่อาจจะเพ่นพ่านอยู่ที่นั่น
เมื่อผู้บาดเจ็บถูกเคลื่อนย้ายออกไปจนหมด เจ้าหน้าที่ที่เหลืออยู่ก็ต่างเตรียมพร้อมที่จะลุยไปยังห้องเก็บอาวุธ บางคนก็ภาวนากับสิ่งศักดิ์สิทธิ์หวังว่าให้ตัวเองรอดไปได้ โนโซมิรับหน้าที่เป็นผู้นำในภารกิจนี้โดยการเดินไปที่ประตูสู่ห้องโถงหลักและพร้อมที่เปิดมันแล้วลุยนำหน้าเข้าไป โนโซมิมองหน้าเจ้าหน้าที่ที่ยืนรออยู่ แม้ไม่ต้องพูดอะไรทุกคนก็ต่างรู้ว่าสายตาของโนโซมิกำลังถามถึงความพร้อม ทุกคนจึงพยักหน้าเป็นอันว่าพร้อมที่จะออกมาเสี่ยงอันตรายข้างนอกแล้ว โนโซมิจึงพยักหน้าตอบแล้วผลักประตูออกไปยังห้องโถงหลักทันที...
----------------------------------------------------
----------------------------------------------------
Ghost Hunter Archives
Weapon Data #9 Brass Knucklesเป็นสนับมือแบบพิเศษที่มีน้ำหนักเบากว่าปกติ แต่มีความรุนแรงและหนักหน่วงมาก เป็นอาวุธที่ใช้สวมเข้าที่มือขวาหรือมือซ้าย และจะทำให้การต่อสู้ด้วยมือเปล่ามีประสิทธิภาพมากขึ้น สามารถทำให้วิญญาณระดับกระจอกกระเด็นไปได้โดยการลงหมัดเพียงแค่ครั้งเดียว
Weapon Data #10 Modified Air Taserเครื่องยิงไฟฟ้าขนาดเล็กซึ่งถูกประดิษฐ์โดยคิจภัค และเป็นอาวุธป้องกันตัวของเขายามฉุกเฉิน มีลักษณะเหมือนเครื่องยิงไฟฟ้าทั่วไปแต่จะดูเล็กกะทัดรัดกว่า โดยมีขนาดเท่ากับฝ่ามือ โดยเครื่องยิงไฟฟ้านี้จะยิงเส้นเอ็นขนาดเล็กพุ่งเข้าหาศัตรู สามารถยิงได้ไกลประมาณสามสิบเมตร เมื่อปลายของเส้นเอ็นสัมผัสเข้ากับร่างของศัตรู มันจะส่งกระแสไฟฟ้าประมาณสองพันมิลลิแอมป์เข้าช็อตศัตรูจนตาย นอกจากจะเป็นอันตรายต่อวิญญาณแล้ว อาวุธชิ้นนี้ยังเป็นอันตรายต่อมนุษย์ด้วยกันเองอีกด้วย ซึ่งกระแสไฟฟ้าขนาดสองพันมิลลิแอมป์สามารถทำให้ร่างกายมนุษย์ถูกเผาไหม้ได้เลยทีเดียว ข้อเสียของอาวุธชิ้นนี้คือ สามารถจัดการศัตรูได้ทีละตัวเท่านั้น