ชายคนหนึ่งตกอยู่ในภวังค์ที่มืดมน มองไปรอบๆเขามองไม่เห็นสิ่งไหน สิ่งที่เขาเห็นมีเพียงแต่ตัวของเขาเองที่ส่องสว่างอยู่ แต่ภายรอบของเขากลับมืดมนจนมองไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น ชายคนนี้พยายามส่งเสียงเรียกหวังว่าจะให้ใครซักคนได้ยิน ไม่มีเสียงตอบกลับใดๆ เขาตัดสินใจที่จะก้าวเท้าเดินไปเผชิญกับความมืดมิดที่อยู่ตรงหน้าเขา
รอบๆของเขาก็ยังคงมืดสนิท แต่ในขณะที่เขาเดินไปตัวของเขาจะส่องสว่างอยู่แค่ที่เดียว เขาเดินต่อไปเรื่อยๆอย่างไร้จุดหมาย จนกระทั่ง.. ดวงตาของเขากลับมองไม่เห็นอะไรอีกแล้ว
เขาเริ่มตื่นตระหนกและเริ่มตะโกนโหวกเหวกโวยวาย แต่ก็ไม่มีเสียงตอบรับมาหาเขาซักเสียงเดียว เขาเริ่มตะโกนด่าสารพัดสารเพมากมาย เขาพยายามวิ่ง วิ่งเพื่อออกไปจากภวังค์นี้ให้ได้ เขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่สิ่งเดียวที่เขารู้ก็คือเขาต้องรีบออกไปจากที่นี่
คนเราเวลามองไม่เห็นจะไม่สามารถทำอะไรได้เหมือนเดิม ความไม่รู้คือสิ่งที่มนุษย์พยายามหลีกเลี่ยงมากที่สุด เมื่อมองไม่เห็น ก็ไม่รู้ จะทำให้คนเราตกอยู่ในสภาวะที่ทำอะไรไม่ถูก ตื่นตระหนก และไม่กล้าทำอะไร ทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำจำเป็นต้องระมัดระวังเนื่องจากมองไม่เห็น สภาวะการตัดสินใจจะลดลงอย่างน่าตกใจ เพียงแค่เพราะว่ามองไม่เห็น
แต่เผอิญว่าชายคนนี้กลัวการ “มองไม่เห็น”
เขาเริ่มที่จะหวาดกลัว เขาแหวกว่ายมือไปรอบๆตัวหวังว่าจะคลำเจอสิ่งใดบ้าง แต่ก็ไม่เจออะไรทั้งสิ้น ชายคนนี้เริ่มพารานอยด์ เริ่มเสียสติไปเล็กๆน้อยๆ เขาเริ่มที่จะหัวเราะทั้งๆที่ไม่มีอะไรน่าขำ เขาเริ่มพร่ำเพ้อพร้อมๆกัน จนกระทั่งเขาหมดสติไป
ทุกอย่างกลับมาเป็นเหมือนเดิม เผยให้เห็นถึงสภาพแวดล้อมที่ชายคนนี้อยู่จริงๆ พื้นหญ้าพร้อมกับต้นไม้หลากหลายสายพันธุ์ที่ปกคลุมแสงจันทร์เล็กๆน้อยๆที่สาดส่องลงมา ชายคนดังกล่าวนอนคว่ำหมดสติอยู่บนพื้น
ทันใดนั้นเองก็มีชายคนอีกคนที่มีผมสีน้ำตาลที่หน้ายาวมาถึงตรงบริเวณดวงตา นัยน์ตาแหลมคมสีแดง อยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวและเนกไทสีแดง เป็นยูนิฟอร์มของโรงเรียนแต่ไร้ซึ่งเสื้อนอก เขาเดินมาตรงที่ชายคนนี้นอนอยู่ พร้อมกับถอดกำไลข้อมือสีน้ำเงินที่มีเลข 3 ห้อยติดกันไว้อยู่ออกมา ชายผมน้ำตาลดึงออกมาพินิจดูอยู่ในกำมือของเขา เหมือนกับชื่นชมของรางวัล ก่อนที่จะเก็บไปไหนกระเป๋ากางเกง แล้วหันหลังเดินจากไป
-----------
“แล้วทำไมถึงกลายมาเป็นแบบนี้ได้ล่ะ..”
“ก็ไม่มีใครยอมกันเลยนี่นา เลยออกมาเป็นแบบนี้แหละ”
“ก็บอกแล้วไงว่าพอทุกอย่างเข้าที่แล้วให้ครูจัดการเองดีกว่า..”
ทั้งสามคนเซย์ คันนะ และครูโคโนกะ ยืนหลบมุมอยู่บริเวณมุมตึก ถามว่าทำไมถึงมาเป็นแบบนี้ได้ เมื่อสักครู่นี้มีการประชุมกันระหว่างสภานักเรียน ครู และตัวแทนนักเรียนปี 1 เพื่อจัดการกับนักเรียนที่กำลังชิงกำไลข้อมือที่ถือว่าเป็นหัวใจของเกม Warzone เลยก็ว่าได้
หลังจากการประชุมเพื่อหาข้อสรุปว่าใครจะเป็นคนจัดการตัวต้นเรื่องอย่างอุชิดะ มาโมรุ ซึ่งทั้งสามคนก็อยากที่จะเป็นคนจัดการด้วยตัวของพวกเขาเอง ถกเถียงกันอยู่นาน จนได้ข้อสรุปว่าก็ไปมันทั้งสามคนนี่แหละ เพราะว่าจำนวนคนเยอะกว่ายังไงแล้วก็มีความได้เปรียบในการจัดการ เพียงแต่จะวุ่นวายในระหว่างขั้นดักรอ
ซึ่งในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมา เซย์กับจิยุได้สืบสวนเกี่ยวกับตัวของอุชิดะ มาโมรุแล้วว่ามีที่มา นิสัยใจคอเป็นอย่างไรบ้าง สิ่งที่ทั้งสองเจอคือ อุชิดะ มาโมรุเป็นชายที่นิสัยดีมากๆ เขาอัธยาศัยดี แถมยังไม่มีใครรังเกียจอีกต่างหาก เผลอๆจะเป็นที่ชอบของคนในชั้นด้วยซ้ำไป
แต่สิ่งที่น่าสงสัยจริงๆคือเวลาที่เขาอยู่คนเดียว เขาจะมีท่าทีที่แปลกออกไป เขาจะค่อนข้างเงียบขรึม ที่สำคัญคือชอบอยู่ตัวคนเดียว ไม่เข้าสังคม ซึ่งค่อนขัดกับลักษณะนิสัยโดยพื้นเพของเขามาก ประเด็นหลักอยู่ที่เวลากลางคืน เขาจะชอบออกไปไหนมาไหนเพียงคนเดียว ซึ่งเซย์กับจิยุสังเกตถึงจุดๆนี้แล้ว คิดว่าน่าสงสัยมากๆ แหละคงมีโอกาสเป็นคนร้ายสูง
ทั้งสองจึงแจ้งเรื่องกลับมาสภานักเรียน และตัดสินใจที่จะติดตามตัวของมาโมรุภายในคืนถัดมา เพื่อจับให้ได้คาหนังคาเขา หรือก็คือในตอนนี้นั่นเอง
“หนูก็บอกครูแล้วไงคะ ว่าเดี๋ยวหนูจัดการคนเดียวได้”
“ก็บอกแล้วว่ามันอันตราย ให้ครูจัดการเองดีกว่า”
“แต่เรื่องนี้ครูไม่เกี่ยวนะคะ!”
“ไม่เกี่ยวยังไงล่ะ ในเมื่อนี่เป็นเรื่องของนักเรียนซึ่งครูก็ต้องดูแลนักเรียนจริงไหม ?”
“เอ่อ.. คือผมว่าเราควรใจเย็นๆกันก่อนนะครับ..”
ตั้งแต่ที่พวกเขาทั้งสามคนได้เฝ้ารอเวลาที่อุชิดะ มาโมรุ จะต้องออกจากหอพักเพื่อมาทำอะไรซักอย่างในตอนกลางคืนซึ่งจะเฉียดก่อนเวลาเคอร์ฟิวประมาณ 20 นาที จากสิ่งที่เซย์และจิยุได้ไปสืบสวนกันมา คันนะกับครูโคโนกะก็ยังคงเถียงกันอยู่ว่าจริงๆแล้วเขาซักคนนึงจะต้องเป็นคนจัดการเพียงคนเดียว เซย์ก็ได้แต่เป็นตัวกลางที่ไม่สามารถทำอะไรได้เลย จึงตัดสินใจนั่งจ้องไปที่ทางออกของหอพักอย่างไม่ละสายตา
จนกระทั่งถึงเวลาประมาณ 22.35 น. มีชายคนนึงเดินออกมาจากหอพัก ทำให้ทั้งสามคนสนใจกับชายคนดังกล่าว ชายคนนั้นมองซ้ายมองขวา ก่อนที่จะเดินตรงไป
“นั่นใครน่ะ”
“ผมมองไม่ค่อยเห็นเท่าไหร่ครับ มันค่อนข้างมืดแล้ว”
“แต่ตอนออกมา ครูเห็นผมสีน้ำตาลแว้บๆนะ คิดว่าไม่ผิดแน่”
“งั้นก็ตามเขาไปไหมครับ ?”
“จะรออะไรล่ะ ไปได้แล้ว”
ทั้งสามคนลุกออกมาจากพุ่มไม้ที่อยู่ใกล้ๆกับหอพัก แล้วค่อยๆเดินอย่างระมัดระวังเพื่อตามชายผมสีน้ำตาลที่ทั้งสามคนคิดว่าน่าจะเป็นนักเรียนปี 1 ที่ชื่อว่าอุชิดะ มาโมรุ ผู้ต้องสงสัยอย่างสุดขีดในคดีกำไลข้อมือนี้
ชายคนดังกล่าวเดินตรงไปโดยเหมือนจะมีจุดหมายปลายทางอยู่ข้างหน้าแน่ๆ ไม่มีการเลี้ยวซ้ายหรือเลี้ยวขวาใดๆทั้งสิ้น นอกจากจะหลบหลีกสิ่งกีดขวางบางสิ่งที่อยู่ระหว่างทางของเขา
“เดินตรงไปแบบนี้จะไปไหนกันนะ..”
“คงน่าจะเป็นโซนสวนสาธารณะนั่นแหละ..”
อย่างที่ได้เคยบอกไว้ข้างต้นว่าโรงเรียนขนาดใหญ่แห่งนี้ที่อยู่ในใจกลางของประเทศญี่ปุ่นหรือนั่นก็คือโตเกียวนั้นได้แบ่งบริเวณทั้งหมดโรงเรียนเป็น 4 โซนด้วยกัน ซึ่งโซนของหอพักจะอยู่ตรงข้ามกับโซนสวนสาธารณะ จินตนาการถึงรูปสี่เหลียมแล้วแบ่งออกเป็น 4 ส่วนเท่าๆกัน ซ้ายบนคือโซนอาคารเรียน ขวาบนคือโซนหอพัก ซ้ายล่างคือโซนบริหาร และขวาล่างคือโซนสวนสาธารณะ ซึ่งจากการเดินของชายคนนี้แล้ว เดินเป็นเส้นตรงอย่างเดียวนั่นหมายความว่าจุดหมายของเขาน่าจะเป็นโซนสวนสาธารณะ
และแล้วชายผมสีน้ำตาลกับทั้งสามคนที่เหลือก็มาถึงโซนสวนสาธารณะจนได้ ชายผู้ต้องสงสัยก็ยังคงเดินต่อไป เหมือนกับต้องการไปเจอกับใครซักคน ทั้งสามคนก็ค่อยๆเดินตามไปอย่างระมัดระวังเพื่อไม่ให้เกิดเสียงเท่าที่จะทำได้
แกร่ก..
“เห้ย!..”
“ชู่วว…”
ในขณะนั้นเอง เซย์ดันไปเหยียบกิ่งไม้ที่ตกอยู่ที่พื้นโดยไม่ได้ตั้งใจ จนทำให้เกิดเสียงที่ทั้งสามคนต่างไม่พึงประสงค์ให้มันเกิดทั้งนั้น เซย์พยายามจะร้องอุทานออกมาแต่ครูโคโนกะเอามือยกนิ้วชี้ขึ้นมาเพียงนิ้วเดียวแนบไว้ที่ปากเป็นสัญลักษณ์ว่าอย่าเพิ่งเอะอะโวยวายเดี๋ยวจะโดนจับได้
แต่ก็ยังคงเป็นความโชคดีของพวกเขาทั้งสาม ที่อุชิดะ มาโมรุไม่ได้หันมาตามเสียงที่เกิดขึ้นเลยแม้แต่น้อย มีแต่จะเดินต่อไปเพื่อไปยังที่หมายของเขา
ทั้งสามคนแทบหยุดหายใจหลังจากที่ต้องรอลุ้นว่าพวกเขากำลังจะโดนจับได้หรือไม่ คันนะถึงขนาดเตรียมกำไลข้อมือพร้อมแล้วหากเกิดเหตุการณ์แบบนั้นขึ้น แต่ก็ต้องถอนหายใจกันมาเฮือกใหญ่(แบบเบาๆ) เนื่องจากตัวของมาโมรุไม่ได้เอะใจกับเสียงที่เกิดขึ้นเลย
“ยังรอด.. นะครับ..”
“ไม่ได้ยินจริงๆเหรอเนี่ย”
“สงสัยอาจจะคิดว่าเป็นเสียงของตัวเองก็ได้มั้งครับ”
“จะยังไงก็ช่างเถอะ ครูว่าตอนนี้รีบๆตามต่อดีกว่า”
ก็ยังคงตามต่อไปเรื่อยๆจนกระทั่งพวกเขาเห็นเงาของคนอีกหนึ่งคนที่ยืนรออยู่ตรงใจกลางของสวนสาธารณะที่มีสัญลักษณ์เป็นบ่อน้ำพุ มาโมรุเข้าไปยืนคุยกับคนปริศนาคนดังกล่าวเมื่อสักครู่ ก่อนที่..
“นี่มัน..”
“ฟิลด์ของ Warzone!!”
พื้นที่บริเวณตรงนี้ได้ถูกนำเป็นต้นแบบในการใช้เป็นฟิลด์ของเกม Warzone เนื่องจากสีที่เปลี่ยนไปกลายเป็นสีที่ผิดเพี้ยนไปจากโลกแห่งความเป็นจริง และผู้เล่น Warzone ทุกๆคนจะสามารถสัมผัสได้ถึงฟิลด์นี้ นั่นหมายความว่าตอนนี้ทั้งสามคนเข้าไปอยู่ในโลกของเกมแบบไม่ได้ตั้งใจแล้ว โดยที่มีต้นเหตุคือชายทั้งสองคนที่กำลังจะเข้าสู่เกมในไม่ช้านี้
“แบบนี้ชัดเจนแล้วล่ะมั้ง..”
“ทั้งสองคนนั้นเหมือนกำลังจะสู้กันอยู่เลยสินะ”
“ถ้าเกิดว่าเขาเป็นคนแย่งกำไลข้อมือจริงๆ ก็ไม่ต้องรอช้าเข้าสู่ฟิลด์กันทั้งสามคนเลยนะ”
ทั้งสามคนกำลังซุ่มรอพร้อมแอบมองมาโมรุกับชายอีกคนหนึ่งกำลังสู้กันอยู่ในฟิลด์นี้ ก่อนที่ซักพักชายอีกคนจะล้มลงหมดสติไปแล้วฟิลด์ก็ดับลงกลับมาเป็นสวนสาธารณะเหมือนเดิม
“แต่เดี๋ยวนะ พอผู้เล่นออกจากฟิลด์แล้วความเสียหายทั้งหมดมันน่าจะจบลงแค่ในเกมไม่ใช่เหรอไงกัน ?”
“ทำไมถึงยังสลบอยู่ล่ะครับ..”
“นั่นๆ มันกำลังจะไปแย่งกำไลข้อมือแล้ว!”
มาโมรุก้มตัวลงไปที่ชายทีก่ำลังสลบอยู่ ก่อนที่จะใช้มือขวาของเขากระชากดึงกำไลข้อมือของผู้เล่นที่สลบอยู่ดึงออกมา แต่ทว่า..
“ฟิลด์!”
“คุจิคาว่าซัง!!”
เซย์กระโดดไปจากพุ่ม แล้วใช้กำไลข้อมือสร้างฟิลด์ขึ้นมาอีกครั้ง พื้นที่ในบริเวณกลับกลายมาเป็นสีที่ผิดเพี้ยนไปจากโลกแห่งความเป็นจริง มาโมรุหันมาหลังจากที่ดึงกำไลข้อมือมาเสร็จ ก็เจอกับเซย์ที่ยืนรออยู่แล้วหลังจากที่เปิดฟิลด์ ก่อนที่จะเบิกตาโพลงด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย ก่อนที่จะกลับไปตีหน้าตายเหมือนเดิม
“พวกแกเป็นใคร ?”
“คุจิคาว่า เซย์ ปี 1 ห้อง B พร้อมที่จะจัดการกับไอ้หัวขโมยแล้ว!!”
“แกว่าใครเป็นหัวขโมยกัน ?”
“ก็แกนั่นแหละจะมีใครอีกล่ะ! ที่เที่ยวแย่งชิงกำไลข้อมือคนอื่นไปแบบนั้นกัน!!”
“ชั้นก็แค่เก็บไว้ดูแลเองต่างหาก ในเมื่อคนพวกนี้ไม่แข็งแกร่งพอที่จะถือกำไลข้อมือนั่นไว้ คนพวกนี้ก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะถือมัน”
“อีกอย่าง ไม่คิดว่ามันเป็นงานสะสมชั้นดีบ้างเหรอ ?”
“ว่าไงนะ !?”
“ไม่อยากจะเชื่อเลยนะว่านี่คือสิ่งที่เธอคิดจริงๆ อุชิดะ มาโมรุซัง”
เสียงของครูโคโนกะดังขึ้นมาพร้อมกับครูโคโนกะที่ก้าวเดินออกมาจากต้นไม้ที่กำบังเอาไว้ เช่นเดียวกับคันนะที่ออกมาเหมือนกัน
“โว้วๆ 3 ต่อ 1 เลยเหรอครับ ? แต่ผมจำไม่ได้เลยนะว่าระบบเกม Warzone จะมีโหมด 3 V 1 ด้วย”
“ก็เพราะแบบนั้นแหละ ครูจึงไปขอยืมไอ้นี่จากฝ่ายบริหารมา”
ครูโคโนกะพูดขึ้นพร้อมกับชูข้อมือขวาให้เห็น กำไลข้อมือของเธอเป็นสีดำที่ผิดไปจากของนักเรียนทั่วๆไป แต่หากที่จะแปลกกว่านั้นคือมีตัวอักษรสีขาวที่สลักลึกลงไปอยู่ในกำไลข้อมือนั้น สามารถอ่านได้ว่า “Authority”
“กำไล Authority.. ของแบบนี้ยิ่งน่าเอามาเก็บในงานสะสมของผมนะครับ”
“ของหายากขนาดนี้ ระดับโรงเรียนนากะโตเกียวแล้วคงจะมีก็ไม่แปลกจริงๆเลยครับ’
กำไล Authority เป็นกำไลข้อมือที่หายากมากๆ ซึ่งทางผู้พัฒนาเกม Warzone ผลิตมาเพียงนับชิ้นได้บนโลกใบนี้ และแจกจ่ายให้ไปยังแต่ละประเทศด้วยจำนวนที่น้อยเท่ากับอัตราการดรอปของโคตรแรร์ระดับโคตรบอสเลยก็ว่าได้ และโรงเรียนนากะโตเกียวก็เป็น 1 ในผู้ถือครองกำไล Authority
กำไล Authority สามารถเปลี่ยนแปลงกฎและโหมดของเกม Warzone ได้ ซึ่งเป็นกำไลที่มีอนุภาพสูงมาก จึงแทบไม่มีการใช้งานจริง นอกจากจะใช้ในการปราบอาชญากรเกมเมอร์เท่านั้น
“เพราะฉะนั้นแล้ว 3 ต่อ 1 ก็คงทำได้แหละเนอะ อุชิดะซัง”
“ก็มาเถอะครับ ผมเองก็อยากจะรู้เหมือนกันว่า คุณครูสมควรจะถือครองกำไลข้อมือไหม”
“ไม่ต้องมองถึงคุณครูหรอกค่ะ แค่ชั้นก็จัดการคุณได้แล้ว”
“โอ้ เป็นเกียรติจริงๆเลยครับ ที่ได้พบกับประธานนักเรียนที่มีหน้าอกหน้าใจใหญ่ขนาดนี้”
“อุชิดะซัง…”
“ไม่ชอบเหรอครับ ใครๆเขาก็มองกันทั้งนั้นแหละ ไม่เชื่อไปถามไอ้เด็กที่ยืนอยู่ข้างๆคุณก็ได้นะครับ”
คันนะหันไปก็เจอกับคุจิคาว่า เซย์ที่ทำหน้าเลิ่กลั่กก่อนที่จะยิ้มแหยๆออกมา คันนะถอนหายใจก่อนที่จะพูดขึ้นว่า
“คุจิคาว่าซัง.. หลังจากนี้เราคงมีอะไรต้องคุยกันนิดนึงแล้วล่ะ”
“อึ๋ย..”
“เอาไว้ก่อนเถอะ คันนะซัง ตอนนี้เรามาสนใจศัตรูที่อยู่ตรงหน้าเราก่อนดีกว่า”
“อยากเข้ามาเมื่อไหร่ก็เชิญเลยครับ”
ครูโคโนกะ เซย์ และคันนะต่างยืนเรียนกันพร้อมกับจ้องไปที่ตัวของอุชิดะ มาโมรุ ที่เผยยิ้มแบบมีเลศนัยออกมา ตัวเลขโผล่ขึ้นมาที่กลางอากาศทำให้ทั้งหมดสี่คนมองเห็นได้ชัดเจน เลขกำลังนับถอยหลังลงเรื่อยๆ กำลังจะเข้าสู่เกมใน
สาม
สอง
หนึ่ง
ศูนย์!