ชายหัวล้านที่มีหนวดสีขาวยาวนั่งอยู่บนแท่นของผู้พิพากษา ด้านข้างของผู้พิพากษามีชายวัยกลางคนนั่งอยู่ ชายคนนี้เป็นพยานในคดีนี้ หน้าของชายแก่คนนี้นั้นมีโต๊ะอยู่สองตัวที่ตั้งอยู่ห่างกันพอสมควร ฝ่ายนึงนั้นมีเด็กผู้หญิงสีขาวนั่งอยู่ ข้างๆกับเด็กผู้หญิงมีชายผมสีน้ำตาลกับหญิงสีบลอนด์นั่งอยู่ ส่วนโต๊ะอีกตัวนั้นมีชายผมบางอีกคน เขาสวมแว่นก่อนจะยิ้มด้วยรอยยิ้มที่เปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ ตรงข้ามกับอีกฝั่งที่สีหน้านั้นเต็มไปด้วยความตึงเครียด บนโต๊ะของทั้งสองฝ่ายนั้นเต็มไปด้วยเอกสารต่างๆ เบื้องหลังโต๊ะนั้นมีระเบียงไม้กั้นอยู่ มันเป็นระเบียงที่กั้นคนผู้มาฟังการตัดสินคดีความนี้ สำหรับวันนี้มีคนไม่มากนัก ดูเหมือนดคีนี้จะไม่ใช่คดีที่คนสนใจเท่าไหร่
“คุณวิลสัน คุณมีอะไรจะพูดอีกรึเปล่า? ถ้าหากคุณไม่มีอะไรจะพูดเราจะตัดสินคดีของคุณนีน่าแล้ว” ชายวัยชราพูดก่อนจะมองไปยังเด็กผู้หญิงสีขาวที่สั่นไปด้วยความกลัว
“ซึ่งดูจากหลักฐานแล้ว ทุกอย่างชี้ตัวไปที่คุณนีน่าหมด ไม่ว่าจะเป็นแก้วที่เราตรวจพบยาพิษอยู่ และบนแก้วนั้นก็มีรอยนิ้วมือของนีน่าอยู่ด้วย”
“ผมให้โอกาสคุณครั้งสุดท้าย มีอะไรจะพูดไหมครับ คุณวิลสั้น?” ผู้พิพากษากดดัน
ชายผมน้ำตาลในชุดสูทสีดำที่ชื่อวิลสั้นพยายามนึก แต่ไม่ว่าจะนึกยังไง เขาก็นึกไม่ออก เขาหันไปมองลูกความของเขาที่กำลังมองเขาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความกลัว เขารู้ว่าลูกความของเขาไม่ผิด แต่เขาจะแก้สถานการณ์ที่เลวร้ายนี่ยังไง ชายที่ชื่อวิลสั้นหันไปทางขวาของเขาก่อนจะเห็นหญิงผมสีบลอนด์นั่งอยู่ หญิงผมสีทรายคนนี้ เธอเอามือจับคางของเธอ ดูเหมือนเธอกำลังคิดอยู่เช่นเดียวกัน
“คุณบรู๊ก คิดอะไรอยู่หรอครับ?” ชายผมน้ำตาลที่ชื่อวิลสั้นถามหญิงผมสีบลอนด์ที่นั่งอยู่
“จริงๆ ชั้นนึกออกอะไรออกแล้วล่ะ...แต่ว่าวันนี้เป็นคดีแรกของนาย ดังนั้นชั้นจะใบ้ให้นายฟังเท่านั้น”
“ลองคิดนอกกรอบดูซิ” หญิงผมสีทรายใบ้ให้ฟัง
วิลสั้นนึกตามที่เธอพูด ก่อนที่มันจะทำให้เขาคิดอะไรบางอย่างออกมา
“ศาลที่เคารพครับ ผมขอดูแก้วที่มีลายนิ้วมือของคุณนีน่าหน่อยได้ไหมครับ?” ชายผมน้ำตาลเอ่ยปากถาม
“ได้ซิ เจ้าหน้าที่” ชายหัวล้านพูดกับเจ้าหน้าที่ในศาล
เจ้าหน้าที่ยื่นถุงมือมาให้ วิลสั้นใส่ถุงมือก่อนจะจับแก้วที่มีลายนิ้วมือของนีน่าอยู่ เขามองไปรอบๆก่อนจะเห็นคราบน้ำสีส้มอยู่ เขาใช้จมูกของเขาดมแก้ว ก่อนที่เขาจะคืนแก้วให้กับเจ้าหน้าที่
“ได้อะไรรึเปล่าครับ คุณวิลสั้น?”
“ผมคิดว่าแก้วน้ำนี้ ไม่ได้ใส่ไวน์แต่เป็นน้ำส้มครับ” วิลสั้นพูด
ประโยคนี้ทำให้คนในห้องหัวเราะออกมาทั่วห้อง ไม่ว่าจะเป็นคนที่มาฟังคดี อัยการ พยาน หรือแม้แต่ตัวของผู้พิพากษาเองก็ยังหัวเราะ แต่เขากั้นหัวเราะก่อนจะใช้ค้อนแกเฟิ้ลเคาะลงไป มันทำให้เสียงกล้องไปทั่วและทำให้เสียงหัวเราะนั้นเงียบลงไป
“แล้วถ้าในแก้วนั้นเป็นน้ำส้มแล้วมันส่งผลยังไงหรอครับ? คุณวิลสั้น” ผู้พิพากษาเอ่ยปากถาม
“เท่าที่ผมฟังมาจากเลขาหรือพนักงานหลายๆคนของผู้ตายแล้ว ผู้ตายไม่ชอบกินน้ำส้มครับ”
“ดังนั้นแล้วผู้ตายก็คงน่าจะไม่กินน้ำส้มแก้วนี้หรอครับ” ทนายผมสีน้ำตาลพูดขึ้น
“แต่บางทีก็อาจจะมีเหตุผลอะไรบางอย่างรึเปล่าที่ทำให้ผู้ตายต้องกินน้ำส้ม” อัยการตั้งคำถาม
“ก็เป็นไปได้ครับ แต่ในขณะเดียวกัน เราก็ไม่สามารถตัดความเป็นไปได้ว่าแก้วน้ำนี้ไม่ใช่ของผู้ตาย”
“คุณอัยการครับ ถ้าสมมุติว่ามีคุณยื่นของที่คุณไม่ชอบให้ คุณจะกินรึเปล่าครับ?”
“คะ คงไม่” อัยการที่ถูกถามตอบ
“แล้วถ้าเป็นแบบนี้มันก็ทำให้เกิดคำถามใหม่สองข้อครับ แก้วนี้เป็นของผู้ตายจริงๆหรือเปล่า?”
“หรือเป็นแก้วของคนอื่น แต่ใส่ยาพิษลงไปทีหลัง”
“แต่ผมว่าสิ่งที่น่าสนใจกว่าคือพยานครับ คุณโทบี้ใช่ไหมครับ? คุณโทบี้บอกว่าคุณเป็นคนเสริพ์แก้วนี้ใช่ไหม?”
“ทำไมคุณโทบี้บอกว่าเป็นไวน์หรอครับ?” ชายผมน้ำตาลเดินไปจ้องหน้าโทบี้ผู้นั่งอยู่ในแท่นพยาน
สีหน้าของชายคนนี้เริ่มตื่นตระหนก เขาพยายามจะคิดหาคำตอบ แต่ดูเหมือนเขายังคิดไม่ออก เหงื่อของเขานั้นเริ่มไหลออกจากใบหน้าก่อนจะหยดลงไปบนแท่นไม้ที่เขานั่งอยู่
“ขะ เขาบอกให้ผมพูดแบบนี้” พยานพูดเบาๆ
“เขา?” แม้มันจะเบาแต่ด้วยระยะของวิลสั้นทำให้เขาได้ยินสิ่งที่เล็ดลอดออกมาจากปากของเขา
“ก็เขา เขาบอกให้ผมพูดแบบนี้ เขาบอกให้ผมพูดแบบนี้ อ้ากก” เขาตะโกนลั่นศาลก่อนที่เขาจะกุมศีรษะของตัวเอง
เสียงฮือฮานั้นดังกึกก้องไปทั่วศาล ทุกคนที่อยู่ในห้องนี้นั้นเต็มไปด้วยความสับสน ทุกอย่างที่พวกเขาเชื่อนั้นกลับกลายเป็นเพียงแค่เรื่องหลอกหลวงเท่านั้น ใบหน้าของชาลตั้นนั้นเต็มไปด้วยความสงสัยเช่นเดียวกันกับคนอื่นๆในห้องนี้ แต่อย่างนึงที่เขาโล่งใจได้คืออย่างน้อยๆตอนนี้เขาก็พลิกสถานการณ์ของเขาไม่ให้ดูเลวร้ายนักได้ ผู้พิพากษาใช้ค้อนทุบลงไปอีกครั้ง มันทำให้เสียงฮือฮานั้นเงียบลงไป
“คัท!!” จูเลียตตะโกนขึ้นมา
“ทำได้ดีมาก ทำได้ดีมาก” จูเลียตเอ่ยปากชื่นชม
ข้างๆของจูเลียตนั้นมีผู้เขียนบทหรือเจเรมี่นั่งอยู่ด้วยและข้างๆของเจเรมี่นั้นก็มีนักแสดงอีกคนนั่งอยู่ด้วย ซึ่งก็คือเดซีย์ที่ผ่านออดิชั้นมาเหมือนกัน ในมือของเธอนั้นมีบทภาพยนตร์อยู่ด้วย ดวงตาของเธอนั้นจดจ้องตัวอักษรที่อยู่บนกระดาษสีขาวที่เต็มไปด้วยตัวอักษร เธอสวมเสื้อยืดสีม่วงของเธอ พร้อมกับกางเกงขายีนส์สีน้ำเงิน วันนี้ไม่ได้มีคิวต้องเข้าฉากอะไร แต่ถึงอย่างงั้นเธอก็อยากจะเข้ามาดูการถ่ายทำอยู่ดี เจเรมี่หันมามองเดซีย์ที่กำลังจดจ่อกับบทของตัวเองอยู่ เธอหันมายังเจเรมี่ เธอไม่ได้พูดอะไร แต่แววตาของเธอนั้นกำลังพูดว่า
“มีอะไร?”
“เปล่าไม่มีอะไรหรอก ผมแค่ดีใจแหละว่า ผมได้คนมากฝีมืออย่างคุณมาร่วมงานด้วย” เจเรมี่ตอบกลับ
“ชั้นก็ไม่ได้เป็นคนที่มากฝีมืออะไรขนาดนั้นหรอก อย่าตั้งความหวังกับชั้นมาก” เธอพูดด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือก
เจเรมี่หัวเราะเบาๆก่อนจะมอง เขามองเข้าไปในฉากก่อนจะเห็นเด็กผมขาวนั่งอยู่ เธอหันมายังเจเรมี่ สายตาทั้งสองพบกัน เธอยิ้มให้ก่อนจะโบกมือให้ ชายผมน้ำตาลยิ้มกลับก่อนจะโบกมือกลับ หญิงผมสีทรายที่นั่งข้างๆหันมาทางเจเรมี่ก่อนที่พูดขึ้น
“ชั้นประหลาดใจจริงๆที่คุณสามารถชวนให้ซิมม่อนมาเป็นแขกรับเชิญในตอนนี้ได้”
“คุณทำยังไง?” จูเลียตเอ่ยปากถาม
“เอ่อ ก็แค่เจรจานิดๆหน่อยน่ะ” เจเรมี่ตอบ
=====
เจเรมี่นั่งอยู่ในฝ่ายเขียนบทของบริษัท รอบๆนั้นเงียบสงัดไม่มีใครอยู่เลยนอกจากตัวเขาเอง เขามองหน้าจอของคอมพิวเตอร์ของเขา มันเป็นบทที่เสร็จแล้ว เขามองเคอร์เซอร์ที่กระพริบอยู่หลังตัวอักษรตัวสุดท้าย เขานั่งจับคางของเขาราวกับว่าเขากำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่ ในขณะที่เขากำลังมองหน้าจออยู่นั้นเขาก็ได้ยินเสียงฝีเท้าของใครซักคนตรงมายังเขา ชายผมน้ำตาลเงยหน้าก่อนจะเห็นชายผมสีดำพร้อมกับแฟ้มข้อมูลเดินตรงมหาเขา เขาวางแฟ้มลงไปบนโต๊ะข้างๆกับจอคอมพิวเตอร์
“นี่คือข้อมูลที่คุณเจเรมี่ฝากให้หาครับ” ชายผมดำที่ได้รับมอบหมายพูด
“ขอบคุณมาก แบรดดี้” เจเรมี่กล่าวขอบคุณก่อนจะหยิบแฟ้มนี่เปิดอ่าน
“อย่าหาว่าผมเสียมารยาทเลยนะครับ ตอนเข้ามาผมเห็นคุณจ้องจอตาไม่กระพริบเลย กำลังมองอะไรอยู่หรอครับ?” แบรดดี้จากฝ่ายวิจัยเอ่ยปากถาม
“พอดีคดีแรกของเรื่องเป็นเกี่ยวกับเด็กที่ถูกตั้งข้อหาฆาตกรรมน่ะ แต่ชั้นยังนึกไม่ออกว่าจะมีเด็กคนไหนเหมาะกับบทนี้”
แบรดดี้จับคางของตัวเองก่อนจะยืนคิดเช่นเดียวกันกับเจเรมี่ที่นั่งคิดอยู่ข้างๆ
“ลินเน็ต ซิมม่อน เป็นไงบ้างครับ?”
“อ่าใช่ ผมคิดอยู่เหมือนกัน แต่คิดว่าไม่น่าจะมาได้ เพราะติดสัญญากับเรื่องเก่าอยู่น่ะ” เจเรมี่ตอบกลับ
“ผมว่าลองดูก็น่าจะไม่เสียหายนะ” แบรดดี้พูด
เจเรมี่พยักหน้าก่อนจะหยิบโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นมาก่อนจะเลื่อนหาเบอร์ของหญิงที่ชื่อลินเน็ตเขาใช้นิ้วของเขากดลงไปบนชื่อนั้น ตามปกติแล้วคนระดับอย่างเจเรมี่นั้น ถ้าจะติดต่อดาราดังจะต้องติดต่อผ่านทางผู้จัดการมากกว่า แต่หากทว่ากรณีของซิมม่อนนั้นต่างออกไป มันเป็นคำสั่งให้โทรศัพท์นั้นโทรออกไปยังปลายทาง เขายกโทรศัพท์สีดำของเขาก่อนจะจ่อไปที่หู เขารอให้ปลายสายตอบกลับมา ไม่นานนักปลายสายก็รับ ไม่ทันที่ปลายสายจะได้พูด เจเรมี่ก็เป็นฝ่ายชิงพูดออกมาก่อน
“สวัสดีครับ คุณซิมม่อน”
“อ๊ะ เจเรมี่นี่นา มีอะไรถึงโทรมาหาหนูหรอ?” สาวน้อยผมสีขาวพูดด้วยน้ำเสียงร่าเริง
“คือผมกำลังเขียนซีรีย์เรื่องใหม่อยู่ และผมก็อยากจะให้คุณมาเป็นแขกรับเชิญในตอนแรก”
“ไม่ทราบว่าได้รึเปล่าครับ?” เจเรมี่เอ่ยปากถาม
ปลายสายคิด เจเรมี่เองก็ไม่ได้เร่งอะไร เขาได้แต่รอฟังคำตอบที่จะออกมาจากปากของเด็กน้อยคนนี้
“ก็ได้ แต่มีข้อแม้หนึ่งอย่างนะ”
“แล้วข้อแม้ที่ว่านั่นคืออะไรครับ?” เจเรมี่ถามด้วยน้ำเสียงเรียบ
“ออกเดทกับชั้นยังไงล่ะ”
เจเรมี่รู้คำตอบของเธออยู่แล้ว แม้ว่าเวลาหน้ากล้องนั้นลินเน็ต ซิมม่อนจะเป็นเด็กน้อยใสๆ แต่จริงๆแล้วซิมม่อนเป็นเด็กที่แก่แดดที่สุดคนนึงเท่าที่เจเรมี่เคยเจอมา ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะอะไร แต่ทางผู้จัดการของซิมม่อนนั้นกำชับมามากว่าห้ามให้คนภายนอกรู้เรื่องนี้เป็นอันขาด ถึงแม้ว่าจะมีข่าวลือหลุดออกไปบ้างเป็นบางครั้ง แต่ท้ายที่สุดผู้จัดการของซิมม่อนก็แก้ปัญหาได้ทุกครั้ง
“โอเคครับ...ตามนั้นก็ได้” เจเรมี่ตอบ
“ไชโย!! ถ้างั้นเดี๋ยวขอหนูไปคุยกับผู้จัดการก่อนนะ”
“ครับ ขอบคุณมากครับ”
=====
“แต่เอาจริงๆผมว่าเราก็ต้องยกเครดิตให้กับคุณเบียทริตซ์และคุณเจมส์ด้วยนะ”
“ทั้งสองสามารถเล่นบทที่ผมวางไว้ได้อย่างดีเยี่ยมเลยล่ะ โดยเฉพาะคุณเจมส์ที่ได้บทของวิลสั้น” เจเรมี่เอ่ยชม
“ทุกอย่างพร้อมแล้วครับ” เสียงของชายที่ชื่อเดนนิสผู้เป็นฝ่ายคุมกล้องตะโกนขึ้นมา
“โอเค นักแสดงทุกคนเตรียมพร้อม” จูเลียตหยิบโทรโข่งของเธอก่อนจะตะโกนเข้าไปในโทรโข่งอันนั้น
เดนนิสหันไปคุยกับปิแอร์ซึ่งนั่งอยู่ข้างๆ ไม่รู้ว่าทั้งสองคุยอะไรกัน แต่ปิแอร์ได้แต่พยักหน้าของเขาเอง มันเป็นเรื่องน่าแปลกนะสำหรับตากล้องสองคนนี้ ช่วงที่เขาถ่ายทำเขามองผลงานของสองคนนี้ตลอด ซึ่งถือว่าเป็นผลงานระดับเดียวๆกันกับพวกสถานทีโทรทัศน์ใหญ่ๆเลยก็ว่าได้ มันก็ทำให้เจเรมี่อดสงสัยไม่ได้ว่าทำไมคนมากฝีมืออย่างสองคนนั้นถึงมาอยู่ในสถานีโทรทัศน์เล็กๆอย่าง WNBT แต่ถึงเขาจะสงสัยยังไง เขาก็รู้สึกว่าเขาโชคดีที่เขาได้ทำงานเคียงข้างกับคนมากฝีมือแบบนี้
“แอ็คชั้น” จูเลียตตะโกน
=====
มันเป็นอีกวันที่อากาศนั้นหนาวเหน็บ สายลมอ่อนๆนั้นพัดให้ใบไม้ที่กรอบแห้ง เคลื่อนที่ไปมา เจเรมี่เดินบนฟุตบาทเคียงข้ามกับเดซีย์ ทั้งสองต่างมองไปยังข้างหน้าโดยไม่ได้พูดอะไรกันเลยแม้แต่ประโยคเดียว เสียงแตรของรถยนต์นั้นดังขึ้นเป็นระยะๆ ผสมกับเสียงฝีเท้าของผู้คนที่เดินผ่านไปมา ตลอดทางนั้นเต็มไปด้วยป้ายของลีออน ลิลิเน็ตในชุดอัศวินและไดแอน แฮริสในชุดสไตล์ยุโรปสีชมพู เขาได้ยินมาว่าซีรีย์เรื่องนี้ได้รับความนิยมมาก เจเรมี่รู้สึกไม่แปลกใจเท่าไหร่ ด้วยเนื้อเรื่องที่ง่าย มีความรุนแรง และมีเรื่องเพศบ้างนิดหน่อย คนชอบกันอยู่แล้ว
“พรุ่งนี้คงถึงคิวของชั้นแล้วใช่ไหม?” เดซีย์ที่เดินข้างๆของเจเรมี่เอ่ยปากถาม
“ใช่ครับ พร้อมแล้วรึยังครับ?” เจเรมี่ถามกลับ
“พร้อมแล้วล่ะ บทที่ชั้นได้ ชั้นจำได้เกือบหมดแล้ว” หญิงผมดำตอบกลับ
“งั้นก็ดีแล้วครับ” เจเรมี่ตอบด้วยรอยยิ้ม
ทั้งคู่เดินไปเรื่อยๆก่อนจะมาถึงคอนโดของตัวเอง ทั้งคู่ขึ้นลิฟต์ตัวเดียวก่อนจะเดินมาถึงห้องของตัวเองซึ่งอยู่ข้างกัน
“ถ้างั้น วันพรุ่งนี้ก็ฝากด้วยละกันครับ” เจเรมี่พูดพลางจับลูกประตูห้องตัวเอง
เดซีย์ยิ้ม ก่อนจะบิดลูกบิดห้องและเดินเข้าไปในห้องของตัวเอง เช่นเดียวกันกับชายที่ชื่อว่าเจเรมี่ ควินน์
=====
ภาพฉายมาที่ศาล ในห้องนั้นเต็มไปด้วยผู้คนมากมาย ภาพนั้นตัดเป็นตัวอักษรสีทองที่เขียนว่า “ความยุติธรรม?” ก่อนที่ภาพจะตัดมายังแผ่นหลังของใครบางคนที่กำลังมุ่งมายังประตูบานหนึ่ง เขาเปิดประตูห้อง กล้องจับไปยังใบหน้าของเขา เขาเป็นชายหนุ่มผมสีน้ำตาล ใบหน้าของเขาเปี่ยมไปด้วยความมุ่งมั่น ดนตรีเริ่มบรรเลง
“ขอค้านครับ”
“เจมส์ โบนาเร่ รับบทเป็น ไมเคิ้ล วิลสั้น” ตัวอักษรสีทองปรากฏขึ้นมาในบริเวณล่างๆของจอ
“ถ้าหากดูจากหลักฐานแล้ว เราจะพบได้ว่า คำพูดของพยานนั้นไม่น่าเชื่อถือ”
“ขอค้านคะ!!” เสียงตะโกนจากอีกด้านดังขึ้นมา
มันเป็นเสียงตะโกนของผู้หญิงผมดำยาวสลวย เธอสวมชุดสีเดียวกันกับเส้นผมของเธอ เธอกอดอกและมองอีกฝั่งด้วยสีหน้าที่ไม่ค่อยเป็นมิตรเท่าไหร่
“ถ้าหากดูหลักฐานๆดีแล้ว สิ่งที่ฝ่ายจำเลยเสนอมานั้น เป็นเหมือนการตอกฝาโลงซะมากกว่า”
“หมายความว่ายังไง?” ทนายผมน้ำตาลถามกลับ
“ทางนิติวิทยาศาสตร์ได้ตรวจหลักฐานชิ้นนี้แล้ว และพบว่ามีรอยนิ้วมือของจำเลยอยู่ด้วย”
“เดซีย์ เคฮิลล์ รับบทเป็น ฟรานซิสก้า เทย์เลอร์” ตัวอักษรสีทองขึ้นเช่นเคย
“ทำยังไงดี แบบนี้เราได้แพ้ๆแน่ๆ” ชายผมน้ำตาลบ่นอุบอิบด้วยสีหน้าที่เป็นกังวล
“ลองคิดดีๆซิวิลสั้น บางทีนายอาจจะได้คำตอบอะไรบ้างก็ได้นะ” หญิงผมสีทรายที่ยืนข้างๆพูดขึ้นมา
“อย่างเช่นอาจจะมีวิธีอะไรรึเปล่าที่ไม่ต้องจับหลักฐานชิ้นนั้น” เธอเสริม
“เบียทริตซ์ ฮอว์กินส์ รับบทเป็น จันน่า บรู๊ก”
“อ๊ะ จริงด้วยซิ” ชายผมน้ำตาลได้ยินแล้วก็นึกตามคำพูดของเธอ
“และนี่แหละคือกุญแจที่จะไขไปสู่ความจริง”
ดนตรีหยุดลงก่อนจะเป็นชื่อเรื่องปรากฏขึ้นมา “Contradiction” และข้างล่างชื่อเรื่องนั้นก็คือวันที่จะฉาย กล่าวก็คือวันที่จะเริ่มการผจญภัยบทใหม่ของเหล่า WNBT อย่างเป็นทางการ