หญิงผมสีชมพูเดินอยู่ข้างๆกับเด็กผมสีขาว พื้นถนนตลอดทางนั้นเป็นพื้นกระเบื้องสีขาว ตลอดทางเต็มไปด้วยบ้านเรือนสีขาวตั้งเรียงรายกันเป็นทางยาว รอบๆเธอนั้นเต็มไปด้วยผู้คนมากมาย บ้างก็ใส่ชุดหรูหรา บ้างก็ใส่ชุดโทรมๆ แม้ว่าในปัจจุบันนั้นเสื้อผ้าจะไม่สามารถวัดได้ทุกอย่าง แต่ในสมัยก่อนนั้นเสื้อผ้าเป็นเหมือนเครื่องบอกชนชั้นในสังคม หญิงผมสีชมพูนั้นสวมสไตล์ยุโรปสีชมพู และเด็กผู้หญิงในชุดสีขาวนั้นใส่ชุดโทรมๆที่เต็มไปด้วยรอยฉีกขาด เธอถือร่มเพื่อบดบังผิวอันแสนจะงดงามของเธอไม่ให้โดนแสงแดด เสียงฝีเท้าของทุกคนที่ย่ำลงพื้นนั้นดังเป็นจังหวะเดียวกัน หากทว่าอยู่ดีๆจังหวะเหล่านั้นก็ถูกทำลายลงด้วยเสียงฝีเท้าของคนจำนวนมาก มันเป็นเหล่าเสียงฝีเท้าของอัศวินในชุดเกราะสีเงินที่วิ่งไปในทิศทางเดียวกัน ชายคนนึงนั้นกระแทกกับหญิงผมสีชมพู มันไม่ได้ทำให้หญิงผมสีชมพูนั้นล้มลง แต่ร่มในมือตั้งตกถึงพื้น เด็กผมสีขาวที่อยู่เคียงข้างจะหยิบร่มขึ้น แต่ไม่ทันจะหยิบ ชายผู้มีเส้นผมสีทองในชุดเกราะก็หยิบร่มที่ตกขึ้น
“นี่ของคุณ” เขาพูดด้วยรอยยิ้ม
ดวงตาของทั้งสองสบกัน หญิงผมสีชมพูผู้มีนัยน์ตาสีเขียวรับไว้ หัวใจของเธอเต้นไม่เป็นจังหวะ ชายผมสีบลอนด์ยิ้มให้ก่อนจะเดินจากไป หญิงผมสีชมพูมองการจากไปของชายคนนี้ แต่แม้เขาจะหายไปในฝูงชน แต่ในหัวใจของเธอก็ยังคงหวยหาและหวังว่าจะได้เจออัศวินผู้รูปงามคนนี้อีก
“คัท” ชายคนนึงตะโกนขึ้น
“ยอดเยี่ยมมาก ยอดเยี่ยมจริงๆ” ชายผมสั้นที่นั่งอยู่ห่างจากฉากตะโกนขึ้น
ข้างๆของเขานั้นมีชายใส่แว่นอยู่ด้วย ผมของเขานั้นเป็นสีน้ำตาล เขานั่งมองจอมอนิเตอร์สามตัวที่วางอยู่ จอทั้งสามนั้นมาจากกล้องคนละตัวกัน เพื่อที่จะทำให้ได้ภาพหลายๆมุมกล้อง ซึ่งก็เป็นหน้าที่ของผู้กำกับที่จะเลือกว่าจะใช้ภาพจากมุมไหนเวลานำไปฉายจริง ชายที่นั่งข้างๆเจเรมี่มองจอก่อนจะนั่งคิด จริงๆนี่ก็ไม่ใช่หน้าที่ของเจเรมี่ที่ต้องมานั่งคู่กับผู้กำกับแบบนี้หรอก แต่เขาก็แค่ชอบดูผลงานที่เขาเขียนก็แค่นั้น ผู้กำกับหันมาก่อนจะเอ่ยปากถามเจเรมี่ที่นั่งอยู่
“จะว่าไป ตอนเราเปิดเรื่อง ตอนที่เราฉายภาพบรรยากาศของเมือง นายคิดว่าเราควรใช้ภาพจากมุมกล้องแบบไหนดี?”
“Crane* ดีไหม?” ผู้กำกับเอ่ยปากถาม
“นั่นซินะครับ ผมก็คิดว่า Crane น่าจะเป็นช้อยส์ที่ดีที่สุดมั้งครับ เพราะว่ามันทำให้เราเห็นถึงความวุ่นวายของตัวเมืองได้ดีกว่า” เจเรมี่แสดงความคิดเห็นของตัวเอง
“คิดเหมือนชั้นเปี๊ยบเลย ฮ่าๆ” ผู้กำกับพูดพลางหัวเราะ
ในขณะที่เจเรมี่กำลังคุยกับผู้จัดการนั้นเขาก็เห็นชายผมสีทรายในชุดเกราะสีเงินเดินตรงมาหาพวกเขา เจเรมี่ยืนขึ้นมาก่อนที่จะจับมือกับชายคนนี้
“ยินดีที่ได้ร่วมงานกันอีกครั้งครับ คุณเจเรมี่”
“ยินดีที่ได้ร่วมงานกับคนที่มากฝีมืออย่างคุณอีกครั้งครับ คุณลีออน” เจเรมี่ตอบกลับด้วยรอยยิ้ม
“ไม่หรอก ผมไม่ได้มีฝีมืออะไรมากหรอก ที่คนชอบคิดว่าผมเป็นนักแสดงที่ยอดเยี่ยม เพราะบทที่ยอดเยี่ยมของคุณต่างหาก” ลีออนถ่อมตัว
“ถ่อมตัวไปแล้วน่า” ชายผมน้ำตาลตบไหลของคู่สนทนาพร้อมกับหัวเราะ
“แล้วเป็นไงบ้างล่ะ? ทำงานกับคุณไดแอนกับหนูซิมม่อนน่ะ” เจเรมี่ถามถึงเพื่อนร่วมงานของลีลีเน็ต
“คุณไดแอน แฮริสนี่สุดยอดมากจริงๆ เธอสามารถทำให้เหมือนตัวละครที่เธอเล่นเหมือนเป็นตัวเธอได้”
“ส่วนหนูซิมม่อน ผมเคยเล่นกับน้องเขามาสองสามครั้งแล้ว ผมว่าน้องเขาน่าจะเป็นดาราดังในอนาคตนะ”
ชายผมทองหันไปมองหญิงผมสีชมพูกับหญิงผมสีขาวที่กำลังหัวเราะคิกคักอยู่ใกล้ๆกับฉาก ในขณะที่ทีมงานกำลังเตรียมตัวเซ็ตฉากต่อไปในการถ่ายทำฉากต่อไป
“ฉากต่อไปนี่ถ้าผมจำไม่ผิด ผมไม่ได้แสดงใช่ไหม?” ชายผมสีทรายถาม
เจเรมี่ไม่ตอบในทันที เขาหยิบบทที่เขาวางไว้บนโต๊ะขึ้นมาดู ก่อนที่เขาจะเปิดไปหน้าต่อไป จริงๆเขาก็จำได้แหละว่าบทต่อไปว่าบทต่อไปเขาเขียนอะไรไว้ แต่เพื่อความมั่นใจเขาจึงเปิดเช็คดูอีกรอบ ถ้าหากเขาจำผิดล่ะก็มันคงสร้างความวุ่นวายให้กับกองถ่ายไม่น้อย ผู้เขียนบทมองสิ่งที่เขาเขียน เมื่อเขาหาในสิ่งที่เขาเจอแล้วก็ลดกระดาษลง ก่อนจะพยักหน้าให้ผู้ถามที่ยืนอยู่ตรงข้าม
“ใช่ ฉากต่อไปเป็นคุณไดแอนกับซิมม่อนแสดง”
“ถ้างั้นผมขอตัวไปพักก่อนละกัน” ชายผมสีทรายเดินผ่านเจเรมี่ไป
หญิงสองคนที่อยู่ในฉากเดินตามทีมงานไปยังห้องแต่งตัว ส่วนทีมงานนั้นเซ็ตฉากเสร็จไปที่เรียบร้อยแล้ว เนื่องจากว่าสตูดิโอที่ใช้ถ่ายนั้นเป็นสตูดิโอแบบปิด จึงมีทุกอย่างจัดเตรียมไว้แล้ว ชายผมน้ำตาลกลับไปนั่งลงบนเก้าอี้อีกครั้ง ก่อนจะเตรียมถ่ายทำฉากต่อไป
=====
ท้องฟ้านั้นเป็นสีส้ม อีกเพียงไม่กี่อึดใจเท่านั้น ท้องฟ้าก็จะถูกปกครองด้วยความมืดมิด ชายผมน้ำตาลเดินอยู่ทางเท้า งานของเขาในวันนี้เสร็จสิ้นแล้ว ทุกอย่างในวันนี้ถือว่าเรียบร้อยดี อากาศอันเย็นสบายนั้นพัดผ่านเจเรมี่ที่อยู่ในเสื้อกันหนาวสีน้ำตาล แม้นี่จะผ่านมาเดือนกว่าๆแล้ว หัวของเขานั้นยังคงคิดถึงสิ่งที่จูเลียตเสนอเขาอยู่ดี นั่นก็คือการเสนอให้ไปทำงานกับ WNBT มันเป็นข้อเสนอที่เขาสนใจ เขาสามารถสร้างซีรีย์ที่เขาต้องการได้ แต่หากทว่ามันมีสิ่งนึงที่รั้งตัวเขาไว้ นั่นก็คือความ “กลัว” เขากลัวจะสูญเสียทุกอย่างที่เขาสร้างขึ้นมา เขากลัวที่วิมานที่เขาสร้างจะพังทลายลงเพราะอุดมการณ์ของเขา
เจเรมี่หยุดอยู่ร้านๆนึง มันเขียนว่า “เอ็ดการ์ มูฟวี่” เจเรมี่หันก่อนจะเดินผลักประตูเข้าไป เมื่อประตูถูกเปิดขึ้น เสียงกระดิ่งก็ดังกึกก้องไปทั่วร้าน พื้นของร้านนั้นเป็นพื้นหมากรุกสีดำตัดสลับขาว กำแพงนั้นเป็นกำแพงอิฐที่มีโปสเตอร์หนังและไฟนีออนสีชมพูที่เขียนเป็นชื่อ “เอ็ดการ์” ดนตรีในยุค 80 นั้นดังกึงก้องไปทั่วร้าน เจ้าของร้านแหงนหน้าจากหนังสือ เมื่อเขาเห็นเจเรมี่เขาก็เอ่ยทักทาย เช่นเดียวกันกับลูกค้าที่กล่าวทักทายเจ้าของร้าน จริงๆร้านหนังร้านนี้เป็นร้านที่อยู่มานานแล้ว และเป็นร้านที่เจเรมี่เข้าออกอยู่บ่อยครั้ง นักเขียนที่ดีต้องพยายามหาแรงบันดาลใจอยู่เรื่อยๆ และคงไม่มีแรงบันดาลใจไหนดีกว่าการดูผลงานที่คนอื่นได้สร้างไว้ เจเรมี่เดินไปตรงยังมุมหนังใหม่ มันมีหนังและซีรีย์หลายเรื่องวางเรียงกันอยู่ เขามองไปที่บางเรื่องที่ตั้งวางอยู่ มันเป็นเรื่องที่เขารู้จักดี เพราะเขาเป็นคนเขียนเองกับมือ
เขาเอื้อมมือไปยังหนังเรื่องนึง ปกของมันนั้นเป็นรูปนักมวยคนนึง เขารู้จักเนื้อเรื่องของเรื่องนี้ดี มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับนักมวยตกอับคนนึงที่ต้องขึ้นชกมวยอีกครั้ง เพื่อลูกสาวของเขา เจเรมี่คิดว่ามันไม่ใช่หนังที่ยอดเยี่ยม แต่ชายผมน้ำตาลก็คิดว่ามันคงเป็นหนังที่ดีเหมือนกัน เขาเดินไปยังด้านหนังที่วางขายมาได้ซักพักแล้ว เจเรมี่เดินมาดูในจุดนี้เผื่อมันจะมีหนังเรื่องไหนที่เขายังไม่เคยดูบ้าง น่าเสียดายดูเหมือนในวันนี้จะไม่มีหนังเหล่านั้น
“กริ๊ง” เสียงของกระดิ่งดังขึ้น
เสียงกระดิ่งนั้นดึงสายตาของเจรามี่ไปยังทางต้นเสียง เขาเห็นหญิงผมบลอนด์สองคน คนนึงนั้นใส่เสื้อโค้ดสีฟ้า ผู้สวมใส่โค้ดตัวนี้นั้น มัดหางม้า ดวงตาของเธอนั้นเป็นสีฟ้า เธอยืนเคียงข้างกับหญิงผมสีบลอนด์ที่ผมหยิกซก หญิงผมหยักซกนั้นสวมเสื้อโค้ดสีดำ เธอนั้นสูงกว่าหญิงที่ยืนข้างๆเธอไม่น้อย เจรามี่รู้จักสองคนนี้ดี และเมื่อหญิงที่มัดหางม้าเห็นตัวตนของเจเรมี่เธอจึงตรงมาหาชายผมน้ำตาลที่ถือแผ่นหนังอยู่อย่างรวดเร็ว เธอมาก่อนจะคว้ามืออีกข้างที่ไม่ได้ถือแผ่นหนังอยู่ ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น
“สวัสดีค่ะ ชั้นเบียทริตซ์ เป็นแฟนผลงานตัวยงของคุณเจเรมี่เลยค่ะ”
“อะ อ่า สวัสดีครับ ขอบคุณมากครับ” ชายผมน้ำตาลพูดด้วยน้ำเสียงตกใจ
จูเลียตเดินมาช้าๆก่อนจะเดินมาข้างๆหญิงที่ชื่อว่าเบียทริตซ์ เอาจริงๆเจเรมี่รู้จักหญิงคนนี้ดี เธอคือนักแสดงที่มีชื่อเหมือนกันในวงการ ถึงไม่ใช่ขนาดว่าพอพูดชื่อแล้วทุกคนต้องรู้จักก็เถอะ
“แล้วพวกคุณมาทำอะไรแถวนี้หรอครับ?”
“พวกเรากำลังกลับบ้าน พอดีไปให้สัมภาษณ์กับทางนิตยสารหนังมาน่ะ” จูเลียตเล่าให้ฟัง
“ระหว่างทางพอดีเจอร้านหนัง เบียทริตซ์เลยอยากลงมาซื้อซีรีย์เกาหลีน่ะ” หญิงผมหยิกเสริม
พูดจบเบียทริซก็เดินหาในสิ่งที่ตัวเองต้องการ เมื่อทิ้งระยะไปแล้ว จูเลียตก็ก้มหน้าลงพร้อมกับพูดเบาๆ
“ชั้นล่ะเกลียดพวก Cinderella Story* ที่เบียทริตซ์ชอบดูจริงๆ” ผู้เป็นพี่บ่นอุบอิบ
เจเรมี่หัวเราะแห้งๆ จูเลียตมองกล่องที่อยู่ในมือของเจเรมี่
“คุณยังไม่ได้ดูเรื่องนี้หรอ?”
“อ่าใช่ ผมยังไม่ได้ดู พอดีช่วงที่ฉาย ผมยุ่งๆน่ะ เลยต้องมาดูที่แผ่นแทน” เจเรมี่พูดพลางมองหน้าปก
“ชั้นดูแล้วล่ะ ชั้นว่ามันหนังธรรมดาๆ เนื้อเรื่องก็เดาได้ แต่ชั้นว่าสิ่งที่ชั้นควรพูดคือนักแสดง”
“เหลือเชื่อมากเลยล่ะ ก่อนหน้านี้ยังเล่นเป็นคนผอมๆอยู่เลย แล้วก็อีกห้าเดือนต้องมาฟิตหุ่นเป็นนักมวยอีก สุดยอดจริงๆ” เธอกล่าวชื่นชมนักแสดงในเรื่อง
ไม่นานเบียทริตซ์ก็เดินกลับมาพร้อมกับถุงที่เต็มไปด้วยหนังมากมาย
“ถ้างั้นชั้นขอตัวก่อนละกัน” จูเลียตหันหลังให้
น้องสาวโค้งให้ก่อนที่ทั้งสองจะเดินออกไปยังรถที่จอดอยู่นอกร้าน ประตูร้านถูกเปิดขึ้นพร้อมกับเสียงกระดิ่ง จูเลียตหยุดอยู่หน้าประตู ก่อนจะหันไปยังเจเรมี่
“ชั้นไม่เร่งคุณเรื่องข้อเสนอที่ชั้นยื่นไปหรอกนะ และชั้นก็เคารพในการตัดสินใจของนาย”
“แต่ชั้นหวังว่านายจะไม่เสียใจกับการตัดสินใจของตัวเองนะ”
เธอยิ้มให้ก่อนจะเดินออกจากร้านไป ทั้งสองขึ้นรถคันเดิมที่เจเรมี่เคยนั่ง รถนั้นขับออกไปอย่างช้าๆ เจเรมี่ยืนอยู่ท่ามกลางแผ่นดีวีดีจำนวนมาก คำพูดที่จูเลียตพูดนั้นมันยังคงติดอยู่ในหัวของเขา มันทำให้เขานึกถึงเรื่องนึงในสมัยตอนที่เขาอยู่ในมหาลัยขึ้นมา
=====
ณ ห้องเล็กๆ ซึ่งมีโต๊ะไม้กลมวางอยู่จำนวนมาก วันนี้ก็ถือเป็นครั้งสุดท้ายแล้วที่เจเรมี่จะได้เรียนกับอาจารย์คนนี้ เหล่าว่าที่นักสื่อสารมวลชนที่เรียนในคลาสนี้ก็มานั่งกันเต็มห้อง ไม่มีเก้าอี้ตัวไหนว่างเลยแม้แต่น้อย เสียงพูดคุยของเหล่านักศึกษาคุยดังกึกก้องในทั่วห้อง ไม่นานนักประตูก็ถูกเปิดขึ้นโดยชายอ้วน บนหัวของเขานั้นเส้นผมค่อนข้างบาง เขาสวมแว่นก่อนจะเดินเข้ามายังโต๊ะของเขา นักเรียนทุกคนในห้องเงียบ ก่อนจะมองมายังชายอ้วนคนนี้ เขายิ้มให้ด้วยรอยยิ้มที่อบอุ่น ชายคนนี้ถือว่าเป็นนักเขียนนิยายชื่อดังในวงการของสิ่งพิมพ์ นิยายของเขานั้นได้รับการตีพิมพ์หลายครั้งและถูกทำเป็นซีรีย์อยู่บ่อยครั้ง นักเรียนหลายๆคนต่างอยากจะเรียนกับเขา แต่เนื่องจากห้องที่เล็กจึงทำให้รับนักเรียนได้ไม่กี่คนเท่านั้น ต้องบอกว่าเจเรมี่โชคดีมากที่ได้เรียนกับอาจารย์คนนี้
“นี่ก็คาบสุดท้ายของพวกเราแล้วเนอะ” เขาถามโดยที่เขาไม่ได้หวังคำตอบ เพราะเขาเองก็รู้คำตอบอยู่แล้ว
“หลังจากจบวิชาของผมไป ผมก็ไม่รู้นะว่าแต่ละคนจะไปทำอะไรหลังจากนั้น”
“แต่ในฐานะอาจารย์ อาจารย์อยากจะพูดอะไรนิดหน่อย”
“ในชีวิตของพวกเรา เราต้องตัดสินใจอะไรมากมาย อาจารย์คงบอกไม่ได้หรอกว่าการตัดสินใจแบบไหนคือแบบที่ถูกต้อง”
“แต่อาจารย์อยากให้พวกเราคิดดีๆ ตัดสินใจให้รอบคอบ เพราะว่าเราจะไม่เสียใจกับสิ่งที่เราตัดสินใจอีก” ชายร่างใหญ่พูด
“แล้วอาจารย์เคยมีเรื่องที่เสียใจรึเปล่าครับ” นักเรียนคนนึงยกมือแซวอาจารย์
“นั่นซินะจะบอกว่าอาจารย์มีก็มีนั่นแหละ แต่เกรงว่าถ้าอาจารย์เล่า เราจะไม่ได้ทบทวนก่อนสอบกันพอดี”
นักเรียนส่งเสียงโห่ร้องด้วยความเสียดาย ผู้สอนก็ได้แต่หัวเราะกับปฏิกิริยาของเหล่านักเรียน
=====
เจเรมี่กลับมาถึงที่ห้องของเขา เขารูดคีย์การ์ด มันปลดล็อคประตูห้องของเขา เจเรมี่บิดลูกบิดเพื่อประตู เมื่อเปิดประตูเข้าไปนั้น เขาเอื้อมมือไปยังสวิตซ์ไฟ เจ้าของห้องกดลงไป มันทำให้แสงไฟในห้องเปิดช้าๆ เมื่อไฟนั้นเปิดทุกดวงแล้ว เขาก็ปิดประตูห้อง ชายผมน้ำตาลวางหนังที่เขาพึ่งซื้อไว้บนโต๊ะข้างๆจอโทรทัศน์ เขาเดินไปยังโต๊ะอีกตัวที่อยู่ในห้องนอนของเขา เขาดึงลิ้นชักออกก่อนจะเห็นนามบัตรที่จูเลียตให้เขาเมื่อเดินที่แล้ววางอยู่ เขาหยิบนามบัตรนี้ออกมา เขาเดินไปยังกระจกในห้องนอนของเขา มันทำให้เห็นถึงบรรยากาศรอบๆเมือง เมืองที่เต็มไปด้วยแสงไฟ เจเรมี่หยิบโทรศัพท์ออกมาก่อนจะกดตามเบอร์ที่อยู่ในนามบัตร
“ตรู๊ดดดด ตรู๊ดดดด”
“ฮัลโหล?” เสียงของจูเลียตที่อยู่ปลายสายดังขึ้น
“คุณจูเลียตครับ สะดวกคุยรึเปล่า?”
“อื้ม สะดวก แล้วโทรมาเรื่องอะไรหรอ? เรื่องข้อเสนอของพวกเรารึเปล่า?”
“ครับ คือว่า...”
=====
Crane = มุมกล้องมุมสูง วิธีใช้คือติดกล้องไปและยกเหมือนเครน
Cinderella Story = เป็นเนื้อเรื่องประเภทนางเอกจน (พระเอกจน) แล้วเหตุการณ์นิดๆหน่อยเลยทำให้กลายเป็นลูกเศรษฐีได้อะไรทำนองนี้ นึกไม่ออกผมอยากจะให้นึกถึงละครบ้านเรานี่แหละ