“กึกๆ” เสียงของรถไฟใต้ดินที่วิ่งอยู่รางดังขึ้นเป็นระยะๆ
ชายผมสีน้ำตาลนั่งอยู่ยังบนที่นั่งถูกทำโดยพลาสติก ในมือของเขาถือหนังสือนิยายที่เขาซื้อมาแต่ยังไม่ได้มีโอกาสได้อ่าน รอบๆเขานั้นเต็มไปด้วยผู้คน ส่วนใหญ่แต่ละคนนั้นต่างก้มมองไปยังมือถือของตัวเอง พร้อมกับอ่านอะไรหลายๆอย่างในโลกของเขา เหล่าผู้คนที่อยู่ในขบวนนั้นต่างใส่หูฟัง เพลงที่ต่างๆกันต่างดังอยู่ในหูของเขา เกือบทั้งขบวนนั้นผู้คนต่างใส่หูฟัง เว้นเพียงแต่เจเรมี่เท่านั้น เสียงประกาศเมื่อถึงสถานีต่างๆดังขึ้น และเมื่อถึงสถานีที่เขาต้องการ เขาก็ลุกออกจากที่นั่งของเขาก่อนจะเดินออกจากขบวนรถไฟที่เทียบท่าที่ชานชะลา ชายผมน้ำตาลเดินขึ้นบันได เขาออกจากสถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน ตอนนี้ค่อนข้างเป็นเวลาเช้า รถจึงมากมายและแน่นหนา เขาไม่อยากจะนึกเลยว่าคนที่นั่งอยู่รถแต่ละคันจะกระวนกระวายขนาดไหน
ชายผมน้ำตาลยังคงก้าวเท้าต่อไป จุดมุ่งหมายของเขานั้นไม่อยู่ไกลเท่าไหร่นัก มันคือสตูดิโอที่ตั้งอยู่ไม่ห่างจากสถานีรถไฟฟ้าใต้ดินเท่าไหร่นัก ไม่นานนักเขาก็มาถึงยังจุดหมายของเขา ชายผมน้ำตาลเปิดประตูเข้าไปก่อนจะเห็นเหล่าทีมงานเริ่มมาประจำที่กันแล้ว เจเรมี่มองไปยังทีมกล้อง อย่างพอลและปิแอร์ที่ต่างเตรียมอุปกรณ์ ทั้งสองไม่ได้คุยกันเท่าไหร่นัก ได้แต่เตรียมอุปกรณ์เงียบๆ เสียงฝีเท้าของเจเรมี่นั้นทำให้ทั้งสองหันมามองชายผมน้ำตาล ชายผู้สวมแว่นขอบสีดำยิ้มให้ก่อนจะทักทายกลับไปยังช่างกล้องมากฝีมือทั้งสอง
เขานำกระเป๋าของเขาวางลงไปยังเก้าอี้ที่เขานั่งเมื่อวาน เก้าอี้ที่อยู่ข้างๆกับผู้กำกับผมสีบลอนด์เจ้าระเบียบผู้ต้องการให้งานของตัวเองสมบูรณ์ที่สุด แต่ดูเหมือนตัวเธอนั้นจะยังมาไม่ถึงยังสตูดิโอ เขาเหลือบเห็นกระเป๋าอีกใบวางอยู่ เจเรมี่จำกระเป๋าใบนี้ได้ มันเป็นของเด็กสาวผมสีม่วงที่ชื่อว่าโซเฟีย แต่กวาดสายตาไปรอบๆแล้ว เขาไม่เห็นร่างของหญิงคนนี้เลยแม้แต่น้อย ไม่รู้เหมือนกันว่าเธอไปไหน เธออาจจะไปซื้อเบอร์เกอร์ร้อนๆมากินเป็นข้าวเช้าเพื่อสร้างพลังงานให้กับตัวเองก่อนจะเริ่มงานในวันนี้
ไม่นานนักเสียงประตูก็ถูกเปิดขึ้นอีกครั้ง คราวนี้เป็นหญิงผมสีบลอนด์ เธอปล่อยผมของตัวเองยาวเกินหัวไหล่ ผมของเธอนั้นหยิกศก เธอสวมเสื้อเชิ้ตที่มีกระดุมสีขาว พร้อมกับกางเกงขาสั้นสีน้ำตาล จะเรียกว่ามันเป็นขาสั้นก็ไม่ถูกนัก เพราะว่ามันคลุมเกินหัวเข่าของเธอค่อนข้างมาก สิ่งเดียวที่เห็นนั้นคือข้อเท้าของเธอและรองเท้าผ้าใบธรรมดาๆ แต่ถึงกระนั้นแม้ชุดของเธอนั้นจะดูติดดิน แต่มันก็ไม่ได้ทำให้ความงามของเธอลดลงเลยแม้แต่น้อย เธอนั่งลงบนเก้าอี้ประจำตำแหน่งของเธอ เธอหยิบบทออกมาจากกระเป๋าของเธอ
“ปัง” เสียงของประตูถูกเปิดขึ้นอย่างรุนแรงดังขึ้น
ผู้เปิดประตูนั้นคือชายผิวสีเข้มที่เดินออกมาจากห้องแต่งตัว เขาอยู่ในสูทและมีอุปกรณ์เข้าฉากพร้อม เขาคือชายที่ได้รับบทกอริลล่า สีหน้าของเขาดูหงุดหงิด ตามหลังเขามานั้นเป็นนักแสดงในเรื่อง The Heist อีกประมาณสองคนได้ สีหน้าของพวกเขาทุกนั้นล้วนแต่ดูหงุดหงิดเหมือนกันหมด ตามหลังมานั้นคือโซเฟียที่สีหน้าดูไม่สู้ดีเท่าไหร่นัก สีหน้าของเธอดูซีดเสียวราวกับเธอพึ่งผ่านสมรภูมิอะไรมา เจเรมี่เดินไปข้างๆเธอก่อนจะเริ่มเรียกชื่อของเธอ หญิงผมสีม่วงหันมามองชายผมน้ำตาล
“เกิดอะไรขึ้นรึเปล่า?” เจเรมี่ถามด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง
“นิดหน่อยน่ะค่ะ...เดี๋ยวเล่าให้ฟังละกัน”
พูดจบโซเฟียก็เดินไปก่อนจะนั่งบนเก้าอี้ของตัวเองด้วยท่าทางหมดเรี่ยวหมดแรง เจเรมี่ไม่ได้พูดอะไรมากก่อนจะนั่งลงตรงที่กระเป๋าเขาวางอยู่ เมื่อทุกอย่างเข้าที่เข้าทางแล้ว การถ่ายทำวันนี้ก็เริ่มขึ้น ความคืบหน้านั้นยังคงไม่มากเท่าไหร่นักและความเคี้ยวนั้นก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในที่สุดเมื่อถึงเวลาสี่ทุ่มก็เป็นอันปิดกอง ซึ่งถือว่าสายกว่าเมื่อวานพอสมควร การถ่ายทำตอนแรกยังไม่เสร็จสิ้นดี และเวลาก็เริ่มเหลือน้อยลงทุกๆวัน เหล่านักแสดงเริ่มต่างทยอยกลับกัน เช่นเดียวกันกับเหล่าทีมงานที่คอยเก็บอุปกรณ์
“จะว่าไปโซเฟีย? ตอนเช้าเกิดอะไรขึ้นหรอ?” เจเรมี่เอ่ยปากถามถึงเรื่องเมื่อเช้า
หญิงผมม่วงที่ผูกผมม้าหันซ้ายหันขวา ผมของเธอที่ถูกมัดไว้แกว่งไปแกว่งมา เจเรมี่หันกลับไปเหมือนกัน ถึงเขาไม่รู้ว่าเธอมองหาอะไรอยู่ก็เถอะ
“ตอนเช้า พวกนักแสดงเข้ามาคุยกับชั้นเรื่องของคุณจูเลียตน่ะ” โซเฟียเริ่มเล่าให้ฟัง
“พวกเขาเรียกร้องให้ชั้น เปลี่ยนคุณจูเลียตออก เพราะพวกเขาคิดว่าคุณจูเลียตโหดเกินกว่าจำเป็น”
“และก็บอกว่าถ้าไม่เปลี่ยนคุณจูเลียตออก พวกเขาจะหยุดแสดง”
“ผมก็ยังเห็นนักแสดงยังอยู่นี่ครับ?” เจเรมี่ถามด้วยความฉงน
“ชั้นบอกพวกเขาว่าหลังจากวันนี้ไป จะจัดการให้ จะหาคนอื่นมาแทนให้”
“หาคนอื่นมาแทน? จะดีหรอครับ?” ชายผมหยิกตั้งคำถามกับหญิงผมม่วง
“ชั้นก็ไม่รู้เหมือนกัน..” โซเฟียพูดด้วยน้ำเสียงที่ไร้ซึ่งความมั่นใจ
เจเรมี่เองก็เงียบเหมือนกัน ก่อนที่เขาจะอ้าปากอีกครั้ง พร้อมกับเปล่งเสียงออกมา
“แล้วบอกคุณจูเลียตแล้วรึยัง?” เจเรมี่ถาม
“ยัง...ชั้นเองก็ไม่รู้ว่าจะพูดกับคุณจูเลียตยังไง”
ชายผมน้ำตาลพยักหน้า ไม่รู้อะไรบันดาลใจ แต่เขาหันหลังกลับไป มันทำให้เขาเห็นหญิงผมสีทรายยืนอยู่ หญิงที่พวกเขาทั้งสองกำลังพูดถึงอยู่ เธอกำมือของเธอแน่น ใบหน้าของเธอนั้นเต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยว เธอมองเจเรมี่ด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความโมโห นี่เป็นครั้งแรกที่เขาถูกหญิงผมสีทรายมองด้วยสายตาที่น่ากลัวขนาดนี้ เธอไม่ได้พูดอะไรก่อนจะหันหลังและเดินกลับไป เจเรมี่พยายามจะพูดอะไรบางอย่างกับเธอ แต่หากทว่าเขาพูดอะไรไม่ออกและได้แต่มองแผ่นหลังของเธอที่เดินออกจากสตูดิโอไปอย่างเงียบๆ
=====
เช้าวันใหม่มาถึง เจเรมี่มาถึงยังสตูดิโอเหมือนเคย ภาพของจูเลียตที่มองเขาเมื่อวานนั้นมันยังคงติดอยู่ในหัวของเขา เจเรมี่พยายามจะโทรไปคุยกับเธอแล้ว แต่หากทว่าไม่ว่าจะยังไง เธอก็ยังคงไม่รับโทรศัพท์อยู่ดี เมื่อเขาก้าวเท้าเข้าไปในสถานที่ถ่ายทำนั้น ชายผมน้ำตาลก็เดินตรงไปยังที่นั่งของเขา เขามองที่นั่งข้างๆซึ่งเป็นของจูเลียตผ่านทางเลนส์แว่นตาของเขา มันว่างเปล่า แม้ว่าเมื่อวานจูเลียตก็มาช้ากว่าเขา แต่วันนี้นั้นมันทำให้เขารู้สึกว่าเก้าอี้ตัวนี้จะไม่ถูกเติมเต็ม ถัดจากเก้าอี้ของจูเลียต มันก็ที่นั่งของโซเฟีย ซึ่งเธอนั่งอยู่แล้ว สีหน้าของเธอนั้นไม่ได้ร่าเริงเหมือนปกติ เธอเงยหน้ามาก่อนจะมองมายังเจเรมี่เช่นเดียวกัน เธอลุกขึ้นมาจากที่นั่งของเธอช้าๆ
“ทุกคนค่ะ ชั้นมีข่าวจะแจ้ง”
“เมื่อเช้าคุณจูเลียตโทรมาบอกชั้นว่า เธอจะลาออกจากตำแหน่งผู้กำกับ และจะหาคนมาแทนให้ในเร็วๆนี้”
“ดังนั้นแล้ว วันนี้ เราคงต้องงดกองกันไปก่อน”
“ไม่ เราจะไม่งดกอง”
เจเรมี่พูดขึ้นมา มันทำให้ทุกสายตาในห้องหันไปมอง เสียงที่พูดนั้นคือเจเรมี่
“ตอนนี้เราตามหลังสเก็ตดู้ลแล้ว ถ้าเรางดอีก เราคงฉายตอนแรกไม่ทันแน่ๆ” เจเรมี่ให้เหตุผลของตัวเอง
“ที่คุณเจเรมี่พูดมันก็ใช่ แต่ตอนนี้เราจะหาผู้กำกับได้จากไหน?” โซเฟียถามกลับ
“ผมคิดว่ามีคนนึงสามารถรับงานนี้ได้”
พูดจบเจเรมี่ก็ลุกขึ้นมาก่อนจะแพ็คข้าวของลงกระเป๋าของตัวเอง ด้วยความรวดเร็ว
“คุณเจเรมี่จะไปไหน?” พอลซึ่งเป็นตากล้องเอ่ยปากถาม
“ผมจะไปตามคุณจูเลียตกลับมา”
พูดจบเขาก็เดินก้าวเท้าออกไปจากสตูดิโอ เขาออกมาสู่สถานที่ไร้ซึ่งหลังคา เขาหยิบมือถือมาก่อนจะโทรไปหาคนที่จะช่วยเขาในวันนี้ เขาเลื่อนหาเบอร์ของคนๆนี้ก่อนจะกดโทรออก ไม่นานนักผู้อยู่ปลายสายก็รับ เจเรมี่เล่าถึงสถานการณ์ให้ฟัง เมื่อเขาเล่าจบ เขาก็เอ่ยปากถามในสิ่งที่เขาต้องการ ผู้อยู่ปลายสายตอบรับ มันทำให้เจเรมี่เอ่ยปากขอบคุณเขาหลายครั้งก่อนจะกดวางสายไป ตอนนี้เขาแก้ปัญหาไปได้แล้วเรื่องนึง เหลือเพียงอีกปัญหาเดียวเท่านั้น นั่นก็คือการตามหาตัวของจูเลียต เธออยู่ไหนนะ? เจเรมี่ตั้งคำถาม เขายืนคิดถึงสถานที่เป็นไปได้ว่าเธอจะอยู่ ในขณะที่เขาคิดอยู่นั้น มันก็ทำให้เขานึกอะไรออกมาได้ นั่นก็คือน้องสาวของคนที่เขากำลังตามหาอยู่
“เบียทริตซ์”
เจเรมี่เลื่อนหาเบอร์โทรศัพท์ของน้องสาว ก่อนที่เขาจะกดโทรออก เจ้าของมือถือยกเครื่องมือสื่อสารไว้จ่อที่หูของตัวเอง เสียงเรียกดังขึ้น ชายผมน้ำตาลพูด “รับซิ” “รับซิ” เบาๆด้วยความกระวนกระวาย ไม่นานนักชายที่เขาต้องการจะคุยด้วยก็รับโทรศัพท์
“ฮัลโหล?” เสียงใสๆของหญิงสาวดังขึ้น
“คุณเบียทริตซ์ใช่ไหมครับ? สะดวกรึเปล่า?”
“สะดวกค่ะ มีอะไรรึเปล่าคะ?”
“พอรู้ไหมครับว่าคุณจูเลียตอยู่ไหน?”
หญิงผมสีทรายที่อยู่ปลายสายนิ่งเงียบอยู่พักนึง ดูเหมือนเธอกำลังคิดอะไรอยู่
“เห็นตอนเช้าบอกว่าออกไปที่โรงหนังกาล่าค่ะ”
“โอเคครับ ขอบคุณมากครับ”
เจเรมี่กดวางสายก่อนจะรีบตรงไปยังสถานที่ที่จูเลียตอยู่ โรงหนังกาล่านั้นเป็นโรงหนังประเภทโรงเดี่ยว กล่าวคือมันเป็นโรงหนังประเภทฉายเรื่องเดียวตลอดทั้งสัปดาห์ เขาไม่เคยไปที่นั่นมาก่อน แต่เขาจำได้ว่าโรงหนังนั้นเป็นโรงหนังโบราณที่อยู่กับเมืองนี้มานาน อาจจะไม่ถึงขนาดก่อตั้งแต่แรก แต่ก็อยู่นานกว่าอายุของเจเรมี่เสียอีก เขานั่งรถไฟฟ้าใต้ดิน เขาวิ่งสุดแรงโดยหวังว่าเขาจะไปถึงจุดหมายก่อนที่หญิงผมสีทรายจะเคลื่อนตัวออกไป ในที่สุดเขาก็ถึงยังสถานีที่เขาต้องการ นี่เป็นครั้งแรกที่เขามายังย่านนี้ รองเท้าสีน้ำตาลคู่ที่เขาสวมใส่นั้นเหยียบขั้นบันไดที่ละขั้น ร่างกายของเขาเหนื่อยล้า เหงื่อของเขาเริ่มไหลออกมาจากผิวหนังของเขา เขาขึ้นมาช้าๆก่อนที่เขาจะกลับมาสู่โลกที่อยู่เหนือใต้ดิน
จากจุดที่เขายืนอยู่นั้นมันทำให้เขาเห็นโรงหนังขนาดใหญ่ มันดูมีอายุ บนป้ายนั้นเขียนชื่อหนังที่กำลังฉายอยู่ ชื่อของมันนั้นถูกเรียบเรียงด้วยตัวอักษรสีดำโดยสามารถอ่านได้ว่า “โรมิโอ จูเลียต” เขาเดินเข้าไปในโรงหนัง ภายในโรงหนังนั้นมีโปสเตอร์มากมายติดอยู่บนกำแพง มันเป็นโปสเตอร์หนังโบราณมากมาย สำหรับคนดูหนังอย่างเจเรมี่เขารู้จักหนังพวกนี้เกือบหมดอยู่แล้ว แต่เขาเชื่อว่าสำหรับคนที่ดูหนังทั่วไป คงไม่มีทางรู้จักหนังพวกนี้แน่นอน สถานที่แห่งนี้นั้นไร้ซึ่งผู้คน นอกเสียแต่พนักงานที่แลดูว่างงานและมีเวลาว่างในการคิดอะไรเยอะแยะ เจเรมี่จ่ายค่าตั๋วก่อนจะเดินเข้าไปในโรงหนัง เขาเข้าไปนั้นเขาเห็นภาพที่ถูกฉายอยู่บนจอยักษ์
จอที่ทุกคนอยากขึ้นไปอยู่ ภาพนั้นเป็นภาพที่ดูมีอายุสีนั้นไม่ได้สดเหมือนกับผลผลิตจากอุตสาหกรรมสมัยปัจจุบัน มันเป็นภาพของหญิงผมสีทรายที่ดูคุ้นหน้าคุ้นตา แต่เธอนั้นดูเยาว์วัยกว่าและร่างของเธอดูเล็กกว่า เจเรมี่รู้ว่าหญิงบนจอเงินนี้คือใคร มันคือจูเลียตในช่วงที่เธออายุได้ 13 ปี และงานที่เขาจ้องมองอยู่นั้นก็คืองานชิ้นแรกๆของเธอ มันเป็นตัวละครที่เพิ่มขึ้นมาจากบทประพันธ์ เขาคุ้นๆว่าช่วงนั้นคนตั้งข้อกังขากันมากมายถึงตัวละครตัวนี้และต่างรุมวิจารณ์กันมากมาย ทุกคนพูดกันหมดว่าที่ตัวละครตัวนี้เกิดขึ้นมานั้นเกิดมาเพื่อดันให้ลูกสาวเข้าสู่วงการ
เจเรมี่เดินบนพรมสีแดงที่ถูกปูไว้ ในโรงหนังแห่งนี้นั้นมีผู้คนเพียงแค่สองคน คนแรกคือเจเรมี่ที่เดินอยู่และอีกคนคือจูเลียตที่นั่งอยู่กลางโรง แถวที่นั่งกลางและนั่งบนที่นั่งที่อยู่ตรงกลางของแถว เธอสวมเสื้อยืดสีขาวและมีแจ็คเก็ตสีดำคลุมทับอยู่ เธอสวมกระโปรงสีขาวยาวคลุมหัวเข่าของเธอ ด้วยความเงียบของโรงหนัง เสียงฝีเท้าของเจเรมี่ที่เหยียบลงพรมเพื่อเดินมาหาเธอ ทำให้จูเลียตหันมายังเจ้าของฝีเท้า ดวงตาของทั้งสองพบกัน เธอไม่ได้พูดอะไรนอกจากหันไปหาจอภาพยนตร์อีกครั้ง ก่อนที่เธอจะทำมือเชิญให้เจเรมี่นั่ง เขาไม่ได้พูดอะไรนอกจากทำตามที่เธอสั่งและนั่งลงข้างๆกับเธอ
“นี่เจเรมี่...”
“การที่ชั้นต้องการผลงานที่ยอดเยี่ยม มันแย่มากขนาดนั้นเลยหรอ?”