ในสตูดิโอนั้นมีเพียงเสียงพูดคุยของคนสองคนดังขึ้นเป็นระยะๆ ฉากที่จัดเตรียมไว้อย่างดี ของประกอบฉากที่ดูสมบูรณ์วางไว้อยู่ที่ๆของมัน หากทว่าสองสิ่งเดียวที่คาดหายไปในฉากที่เพรียกพร้อมนั้นอย่างแรกก็คือเหล่านักแสดง ซึ่งตอนนี้ได้เพียงแต่นั่งพักอยู่ข้างๆฉากเท่านั้น เหล่านักแสดงหันไปคุยกันเป็นระยะๆในขณะที่นั่งรออยู่บนเก้าอี้สีดำตัวนี้ และอย่างที่สองก็คือผู้กำกับที่ดันรับงานซ้อนและเลือกงานที่ใหญ่กว่า แต่เอาจริงๆเท่าที่เจเรมี่ฟังมา มันไม่มีการเซ็นสัญญาและสัญญาที่ว่าเป็นเพียงสัญญาจากลมปากเท่านั้น ดังนั้นก็คงทำอะไรไม่ได้และต้องแก้ปัญหาด้วยวิธีอื่นแทน และวิธีแก้ปัญหาที่ว่าก็กำลังตรงมายังสตูดิโอแห่งนี้แล้ว
รถสีเงินนั้นจอดยังที่จอดรถ ประตูทั้งสองข้างนั้นเปิดออก คนขับหรือจูเลียตก้าวเท้าออกมา ส่วนผู้โดยสารหรือเจเรมี่เองก็ก้าวเท้าลงมาจากประตูรถอีกข้าง ตอนแรกๆเจเรมี่ก็กะจะมาเอง แต่หากทว่าจูเลียตไม่รู้ว่าสตูดิโอที่ใช้ถ่ายทำอยู่ไหน จึงต้องให้เจเรมี่ผู้รู้เป็นผู้นำเส้นทาง ทั้งสองเดินตรงเข้าไปในสตูดิโอ เมื่อประตูถูกเปิดขึ้น ทุกสายก็มองมายังทั้งสองที่เปิดประตูเข้ามา เมื่อโซเฟียเห็นการปรากฏตัวของทั้งสองก็ทำให้เธอตรงมายังทั้งสองด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความหวัง
“ขอบคุณที่มาค่ะคุณจูเลียตที่มา” โซเฟียพูดด้วยน้ำเสียงยินดี
“ไม่เป็นไร คุณโซเฟีย ชั้นขอดูบทหน่อยได้ไหม?” จูเลียตตอบพร้อมกับเอ่ยปากถาม
“ได้ค่ะ”
โซเฟียวิ่งไปก่อนจะไปหยิบเอาบทออกมาจากโต๊ะ เธอยื่นให้หญิงผมสีทราย เธอรับไว้ก่อนจะเปิดอ่าน
“โอเค เริ่มถ่ายเลยดีกว่า” จูเลียตเดินตรงไปยังที่นั่งของเธอ
“เอ่อ จะไม่อ่านเพิ่มหน่อยเหรอคะ?” หญิงผมม่วงตั้งคำถาม
“เรามีเวลาไม่มากแล้ว ถ้าหากช้ากว่านี้เราคงถ่ายไม่ทันแน่ๆ” จูเลียตตอบในขณะที่ก้าวไปข้างหน้า
จูเลียตนั่งลงบนเก้าอี้ เจเรมี่กับโซเฟียนั่งประกบข้างของเธอ เหล่าทีมงานเริ่มเตรียมตัวที่จะถ่ายทำซีรีย์ที่จะฉายต่อจาก Contradiction เหล่านักแสดงต่างลุกขึ้นจากเก้าอี้ของตัวเอง ก่อนจะตรงเข้าไปในฉาก ปิแอร์และพอลที่นั่งอยู่หลังกล้องให้สัญญาณกับจูเลียตที่มองพวกเขาอยู่ เมื่อผู้กำกับเห็นสัญญาณก็หยิบโทรโข่งขึ้นมาพร้อมกับตะโกนเข้าไปในโทรโข่งว่า “แอ็คชั้น” สิ้นเสียงของเธอนั้นเหล่านักแสดงก็เริ่มเล่นตามบทที่ตัวเองได้รับไว้
“บ้าเอ๊ย มันจับชีตาร์ไปได้!!” ชายผิวสีที่มีสมญานามกอริลล่าตะโกนด้วยน้ำเสียงโกรธเกรี้ยว
“ฟ๊อกซ์มันหักหลังเรา...บ้าที่สุด” ชายอีกคนที่ได้ฉายาว่าไลอ้อนพูดพร้อมทุบกำแพง
เสียงกำแพงที่ถูกทุบนั้นดังกึกก้องไปทั่ว ทั้งสองเดินก่อนจะทิ้งร่างลงไปบนโซฟาสีน้ำตาลเก่าๆ มันเป็นโซฟาที่เต็มไปด้วยรอยขาด ใบหน้าของทั้งสองเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า ถือว่าเป็นวันที่เลวร้ายที่สุดสำหรับอาชีพอาชญกรของทั้งสองเลยก็ว่าได้ เงินที่ปล้นจากธนาคารอย่างยากลำบากก็กลายเป็นสูญเปล่า เพื่อนที่ร่วมปล้นกันมา คนนึงก็หักหลังและเป็นสายให้ตำรวจ อีกคนก็โดนจับตัวไป มันคงไม่มีอะไรเลวร้ายไปกว่านี้แล้ว ชายที่เป็นหัวหน้ากลุ่มเดินไปยังตู้เย็น ก่อนจะเปิดตู้เย็น ในตู้นั้นมีเบียร์กระป๋องไม่กี่กระป๋องวางอยู่บนชั้น เขาใช้มือของเขาหยิบเบียร์กระป๋องนั้นออกมาก่อนจะเปิดกระป๋องเขากระดกมันเข้าปากก่อนที่เขาจะลดมือลง
“ดูเหมือนมันจะจบแล้วซินะ”
“คัท!!” หญิงผมสีทรายตะโกน
“ทำได้ดีมาก ทีมงานเตรียมฉากต่อไปได้เลย” จูเลียตตะโกนสั่ง
ทีมงานได้ยินก็เริ่มเตรียมตัวในขณะเดียวกันเหล่านักแสดงก็กลับไปพักข้างๆฉากเหมือนเคย ดูเหมือนทุกอย่างจะไปได้ดี เจเรมี่มองด้วยรอยยิ้ม มันทำให้เขารู้สึกว่าเขาคิดถูกจริงๆที่ขอความช่วยเหลือจากหญิงคนนี้ จูเลียตนั่งอ่านบทของฉากต่อๆไปด้วยสายตาที่มุ่งมั่น แต่หากทว่าเพียงไม่กี่นาทีเท่านั้น มันทำให้เขาคิดถึงสิ่งที่เขาคิดนั้นก็หน้านี้ว่าเขาคิดถูกจริงๆรึเปล่า
“เราไปช่วยเพื่อนของเรากันเถอะ ไลอ้อน” ชายผิวขาวที่มีเส้นผมสีน้ำตาลพูด
ชายคนนี้คือตัวละครใหม่ของเรื่อง The Heist ฉายาของเขาคือ “ฮอล์ค” เป็นตัวละครที่เจเรมี่กับโซเฟียช่วยกันสร้างขึ้นมา ตัวละครตัวนี้มีความสามารถมากในการใช้สไนเปอร์ ว่ากันว่าเขาสามารถยิงเป้าหมายของเขาตายต่อให้อยู่ห่างขนาดไหนก็ตาม
“คัท” จูเลียตตะโกนขึ้นมา
“ประโยคนี้ในบทไม่มีคำว่าเพื่อน อย่าเพิ่มบทเองซิ!!” จูเลียตต่อว่า
“แต่คุณจูเลียตค่ะ มันต่างจากประโยคเดิมแค่คำเดียวเองน่ะค่ะ” โซเฟียที่นั่งข้างๆถาม
“ประโยคนี้มันเป็นการบ่งบอกว่าฮอล์คนั้นไม่ได้เป็นเพื่อนของฟ๊อกซ์ที่ถูกจับตัวอยู่ ดังนั้นถ้าเติมคำว่าเพื่อนไป มันจะทำให้รูปประโยคเปลี่ยน ไม่ผ่าน” หญิงผมสีทรายอธิบายเหตุผลของตัวเอง
“...ค่ะ” โซเฟียตอบสั้นๆ
=====
“แล้วแบบนี้เราจะไหวรึเปล่า? จำนวนของพวกเรามีแค่สามคนเองนะ” ชายผิวสีตั้งคำถามกับชายสองคนที่ยืนอยู่ใกล้ๆกับตัวเอง
“ไม่มีปัญหา เราจะปลอมตัวเป็นยาม ขโมยคีย์การ์ด แล้วหลังจากนั้นก็...เอ่อ” ชายผม
“คัท!!” จูเลียตตะโกนคั่นอีกครั้ง
“เราจะมุดเข้าปิดระบบรักษาความปลอดภัยแล้วปล่อยนักโทษออกมา!! แค่นี้พูดยากรึไง?!” จูเลียตต่อว่า
“ขอโทษครับ” นักแสดงที่ถูกต่อว่าได้แต่พูดน้ำเสียงแผ่วเบา
นี่ก็หลายชั่วโมงหลังจากฉากแรกแล้ว แต่นี่เป็นเพียงแค่ฉากที่สามเท่านั้นที่ได้ถ่ายทำ เจเรมี่มองนาฬิกาข้อมือของตัว นี่ก็เริ่มมืดแล้ว แต่ว่าความคืบหน้านั้นน้อยมาก ถ้าหากเดาไม่ผิดนี่น่าจะประมาณห้านาทีของตอนเท่านั้น มันยังเหลืออีกสามสิบห้านาทีให้เติมเต็ม และดูจากเวลาแล้วพวกเขาคงเพิ่มอะไรไม่ได้ในคืนนี้แน่นอน ตอนแรกๆเจเรมี่ก็คิดว่าการมาของจูเลียตจะทำให้ทุกอย่างนั้นราบลื่น เหมือนตอนที่เธอกำกับ Contradiction ไม่นานฉากนี้ก็ถ่ายทำเสร็จ และด้วยสภาพของนักแสดงแต่ละคนที่ล้าก็ทำให้วันนี้เลิกกองแต่เพียงเท่านี้
“ถ้างั้นขอตัวก่อนน่ะค่ะ” โซเฟียพูดก่อนจะมือโบกลาคนในสตูดิโอ
“ให้ผมไปส่งไหมครับ?” เจเรมี่เอ่ยปากถาม
“ไม่เป็นไรค่ะ แฟนมารับค่ะ” หญิงผมสีม่วงตอบด้วยรอยยิ้มก่อนจะวิ่งออกไป
เจเรมี่โบกมือให้กับโซเฟียที่เดินออกจากสตูดิโอไป ชายผมน้ำตาลมองไปยังสตูดิโอรอบๆที่ผู้คนเริ่มบางตาลง เขายังคงเก็บของต่างๆลงกระเป๋าเป้สีดำของเขา ในขณะที่เขากำลังเก็บของเข้าไปในกระเป๋านั้น เขาก็ได้ยินเสียงฝีเท้าของใครบางคนตรงเข้ามา เจเรมี่แหงนหน้ามองก่อนจะเห็นผู้กำกับผมสีทรายยืนอยู่ตรงหน้าเขา
“ให้ชั้นไปส่งไหม?” จูเลียตเอ่ยปากถาม
“รบกวนด้วยครับ” เจเรมี่ตอบกลับด้วยรอยยิ้ม
จูเลียตไม่ได้พูดอะไรนอกจากยิ้มกลับ ทั้งสองขึ้นรถสีเงินซึ่งเป็นคันเดิมกับที่ทั้งสองนั่งมา รถนั้นเคลื่อนออกไป เจเรมี่มองออกไปนอก นอกจากเสียงของรถที่ขับบนท้องถนนแล้ว เขาไม่ได้ยินเสียงอะไรอีกเลย มันไม่ใช่ท้องถนนที่ว่างเปล่า มันมีรถหลายคันวิ่งอยู่บนถนนสายนี้เช่นเดียวกัน ภายในรถสีเงินนั้นเงียบสนิท ชายผู้สวมแว่นขอบสีดำหันไปมองคนขับ มันทำให้คนขับหันมามองเขาเช่นกัน แต่เธอไม่ได้จ้องหน้าของผู้โดยสารนานนัก ก่อนที่เธอจะหันกลับไปมองยังท้องถนน
“มีอะไรหรอเจเรมี่? นายดูเหมือนมีเรื่องอยากจะพูดกับชั้นเลยนะ”
“ไม่คิดว่าโหดไปหน่อยหรอครับ?” เจเรมี่เริ่มพูดในสิ่งที่ค้างคาใจออกมา
“หมายถึงในกองถ่าย The Heist เรอะ?”
“ครับ” เจเรมี่ตอบสั้นๆ
“ชั้นรู้ตัวแหละว่าชั้นโหดไป แต่ว่านี่จะเป็นซีรีย์ที่ฉายต่อจาก Contradiction”
“และคนดูต้องคาดหวังกับคุณภาพของมันอยู่แล้ว ดังนั้นถ้าคุณภาพมันออกมาไม่ได้ดั่งที่หวังล่ะก็”
“พวกเราเละแน่ๆ” จูเลียตตอบ
รถนั้นจอดอยู่หน้าสัญญาณไฟสีแดง รถคันอื่นๆที่อยู่บนถนนเส้นเดียวกันก็ทำแบบเธอคือจอดและรอสัญญาณไฟสีแดงเปลี่ยนเป็นสีเขียว แม้ว่ามันจะเป็นแสงไฟที่ส่องสีแดงออกมา แต่มันก็มีอำนาจมากพอที่จะทำให้ทุกคนหยุดและทำตามมัน มันก็คล้ายกับคนสมัยก่อนที่นับถือพระอาทิตย์หรือแม่น้ำนั่นแหละ มันเป็นเพียงปรากฏการณ์ธรรมชาติ แต่คนกับนับถือมันและกลัวมัน หากทว่าที่ใช้คำว่าคล้าย เพราะถ้ามีใครที่กล้าและบ้าพอที่จะขับผ่านไฟสีแดงนั่น ก็จะถูกลงโทษตามกฏหมายและโดนปรับเงินจำนวนหนึ่ง มันคงไม่มีใครอยากโดนเรื่องแบบนั้นอยู่แล้วล่ะ
“แต่บางทีผมว่าเล็กๆน้อยๆก็ปล่อยไปไม่ได้หรอครับ?” เจเรมี่ตั้งคำถามต่อ
“ในโลกของวงการบันเทิงน่ะ มันไม่มีคำว่าเล็กๆน้อยหรอก นายก็น่าจะรู้นี่เจเรมี่”
“คนดูเป็นพวกช่างสังเกตอยู่แล้ว บางทีอะไรเล็กๆน้อยที่เราคิดว่าคนดูไม่สังเกต คนดูมักจะเห็นอยู่เสมอ”
“ต่อให้ไม่เห็นก็จะมีพวกนักจำผิดที่นั่งย้อนดูไปมาเห็นอยู่ดี” จูเลียตหันมาตอบเจเรมี่
แสงไฟจากสีแดงเปลี่ยนเป็นสีเขียว รถที่อยู่ข้างหน้าเธอเริ่มเคลื่อนตัวออกไป เช่นเดียวกันกับเธอ เจเรมี่ไม่ได้พูดอะไร สิ่งที่จูเลียตพูดนั้นไม่ผิดเลย แต่หากทว่าเวลาตอนนี้เริ่มเหลือน้อยลงเรื่อยๆ ถ้าหากไปด้วยความเร็วระดับนี้ เชื่อว่ากว่า The Heist จะเสร็จก็คงอีกสองซีซั่นและคงฉายไม่ทัน Contradiction แน่ๆ รถคนนี้ยังคงเคลื่อนต่อไปก่อนจะเลี้ยวซ้ายซึ่งเป็นถนนที่เจเรมี่รู้จักดี มันเป็นถนนไปยังบ้านเขาเอง รถสีเงินนั้นจอดหน้าคอนโดสูงหลายชั้น ชายผมสีน้ำตาลเอ่ยขอบคุณก่อนจะก้าวเท้าลงมาจากรถ
“พรุ่งนี้ให้ชั้นมารับไหม?” เธอถาม
“ไม่เป็นไรครับ พรุ่งนี้ผมไปเองดีกว่า” เจเรมี่ตอบ
“ถ้างั้นเจอกันพรุ่งนี้นะ” จูเลียตพูดพร้อมเลื่อนกระจกขึ้นก่อนจะขับออกไป
เจเรมี่มองรถคันนี้ขับหายไปจากสายตาของเขา ชายผมสีน้ำตาลเดินขึ้นบันไดก่อนจะตรงไปยังห้องของตัวเอง เขาหยิบกุญแจก่อนจะไขประตูห้องของเขา เขาเปิดประตูก่อนจะเปิดไฟห้องของเขา ดวงไฟแต่ละดวงเปิดช้าๆ เจเรมี่ถอดเสื้อโค้ดของเขาก่อนจะโยนลงไปบนโซฟา มันเป็นวันอีกวันที่เหนื่อยสำหรับชายผมน้ำตาล แม้มันเขาจะแค่นั่งเฉยๆและออกความเห็นเท่านั้น แต่ด้วยบรรยากาศที่สุดแสนจะกดดันมันทำให้ร่างกายของเขารู้สึกอ่อนล้า เขาเปิดประตูกระจกที่นำเขาไปสู่ระเบียง เขาอยากจะลมเย็นๆหวังว่าลมเย็นๆจะช่วยคลายความเหนื่อยของเขาได้ เขาวางแขนของเขาลงบนระเบียงก่อนจะถอนหายใจด้วยความเหนื่อยล้า เขาแหงนมองขึ้นไปบนฟ้า นอกจากท้องฟ้าสีดำแล้ว เขาก็ไม่เห็นอะไรอีกเลย ไร้ซึ่งดวงดาว ไร้ซึ่งจันทรา มันช่างมืดมนเหลือเกิน
“เป็นอะไร? ถอนหายใจบ่อยเชียว?” เสียงหญิงที่คุ้นเคยดังขึ้น
เจเรมี่หันไปตามเสียงก่อนจะเห็นหญิงผมดำซึ่งอยู่อาศัยอยู่ข้างห้องของเขายืนอยู่ แม้ว่าทุกอย่างจะเหมือนๆเดิม แต่ทรงผมของเธอนั้นเปลี่ยนไป ปกตินั้นเธอมักจะปล่อยผมตัวเองให้ยาวสลวย แต่คราวนี้เธอมัดผมของเธอ มันเป็นทรงผมทรงเดียวกันกับเบียทริตซ์
“เปลี่ยนทรงหรอ?” เจเรมี่เอ่ยปากถาม
“อืม เบียทริตซ์ลองมัดให้ชั้นดูน่ะ คิดว่ายังไงบ้าง?” หญิงผมดำตั้งคำถาม
“ผมว่าก็เข้ากับคุณเดซีย์ดีนะครับ แต่ผมว่าผมชินตากับผมยาวมากกว่า” ผู้ถูกถามตอบ
“นั่นซินะ” เธอพูดก่อนจะแกะที่รัดผมของเธอออก มันทำให้เส้นผมของเธอกลับมาเรียบตรงเหมือนเดิม
“เหมือนจะสนิทกับคุณเบียทริตซ์ขึ้นเยอะเลยนะครับ ในช่วงที่ไปสัมภาษณ์เมื่อวานเนี่ย” เจเรมี่ถามต่อ
“ก็นะ เราได้คุยอะไรกันหลายๆเรื่องน่ะ ทั้งเรื่องในวงการบ้าง เรื่องนอกวงการบ้าง”
“มันเป็นอะไรที่สนุกมากๆเลยล่ะ” หญิงผมสีดำตอบ
“แล้วนายถอนหายใจเรื่องอะไรล่ะ? เรื่องไปที่วันนี้ไปถ่าย The Heist งั้นหรอ?” เดซีย์ถามบ้าง
“จะบอกว่างั้นก็ได้ครับ”
“พอจะเล่าให้ชั้นฟังได้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้น?” เพื่อนบ้านถามต่อ
“คุณจูเลียตค่อนข้างเขี้ยวกับนักแสดงน่ะ แล้วผมกลัวว่าเราจะถ่ายไม่ทัน” เจเรมี่เล่าแบบสั้นๆ
“เห...ตอนที่ชั้นถ่าย Contradiction คุณจูเลียตไม่เห็นจะเขี้ยวขนาดนั้นเลย”
“นั่นซิครับ” เจเรมี่แสดงความเห็นด้วย
“แล้วจะว่าไปคุณมาทำอะไรที่นี่หรอครับ?” เจเรมี่ถามกลับ
“ไม่ได้ทำอะไร ชั้นแค่อยากจะออกมายืนตรงนี้น่ะ” เดซีย์ตอบ
“เดซีย์...มื้อเย็นพร้อมแล้ว” เสียงของผู้เป็นแม่เธอตะโกนจากในบ้านออกมา
“ถ้างั้นชั้นขอตัวก่อนล่ะ”
“ครับ โชคดี” เจเรมี่ตอบกลับ
ชายผมน้ำตาลเอ่ยคำนี้โดยไม่รู้เลยว่าคนที่ต้องการคำพูดประโยคนี้ไม่ใช่เพื่อนบ้านของตน แต่คือตัวเขาเอง