VIDEO ----------------------------------------------------
“จับปืนให้มันแน่นๆสิ บอกกี่ครั้งแล้ว” เสียงของมิสะตะโกนกรอกหูชั้นมาเกือบครึ่งชั่วโมงแล้ว ชั้นอยู่ในห้องซ้อมปฏิบัติการ ซึ่งมีทั้งสนามซ้อมยิงปืน ซ้อมฟันดาบ ซ้อมการต่อสู้มือเปล่า และอะไรอีกหลายๆอย่างในห้องทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดใหญ่ แต่ละจุดถูกกั้นด้วยประตูและกำแพงเก็บเสียงแบ่งแยกเป็นห้องๆ เพื่อที่จะได้ไม่เป็นการรบกวนกัน โดยเฉพาะจุดซ้อมยิงปืนที่ชั้นกำลังยืนอยู่ซึ่งเสียงดังน่าหนวกหูที่สุด นอกจากมิสะและชั้น ยังมีเจ้าหน้าที่ผู้ชายสองคน และผู้หญิงอีกหนึ่งคนซ้อมยิงปืนอยู่ด้วย คนแรกเป็นผู้ชายผมสีขาวพร้อมผ้าปิดปาก (ไม่ร้อนหรอคะ?) โกสท์อายส์อ่านชื่อเขาว่า ยามาดะ เรียว คนที่สองเป็นผู้ชายใส่หมวกสีออกขาวๆ (สงสัยหัวล้าน) โกสท์อายส์อ่านชื่อเขาว่า เกล ฟรอรี่ สัญชาติอังกฤษ และผู้หญิงคนสุดท้ายเป็นสาวผมสั้นสีดำลักษณะคล้ายทอมบอย โกสท์อายส์อ่านชื่อเธอว่า เวอร์ดี้ เวโรน่า สัญชาติอิตาลี ทั้งสามคนต่างยิงปืนของตัวเองไม่ได้สนใจสิ่งรอบข้างนัก
นี่ก็เกือบสัปดาห์ที่ชั้นจะต้องมาซ้อมยิงปืนที่นี่ทุกๆเย็น ฝีมือของชั้นยังย่ำอยู่กับที่ สังเกตได้จากท่าทีเบื่อหน่ายของมิสะที่พยายามจะทำให้ชั้นเป็นนักแม่นปืนหรืออะไรทำนองนั้น ชั้นพยายามนึกว่ากำลังเล่นพวกเกมตู้ที่ให้ยิงสัตว์ประหลาด หรือยิงผู้ร้าย ของแบบนั้นชั้นเคยผ่านมันมาบ้างตอนเข้าเกมส์เซ็นเตอร์ แต่ดูเหมือนความรู้สึกมันจะคนละอย่างกัน
แม้เรื่องปืนชั้นจะแย่ แต่สำหรับเรื่องโกสท์อายส์ชั้นเริ่มจะศึกษาคุณสมบัติต่างๆได้มากขึ้นเยอะแล้ว มีทั้งคุณสมบัติซูมภาพเหมือนกล้องส่องทางไกล ปรับภาพที่มองเห็นให้สว่างขึ้นหรือมืดลงได้ พยากรณ์อากาศก็ได้ และอีกหลายอย่าง มันเป็นอะไรที่เด็ดดวงสุดๆ!!
“ปืนกล็อกเป็นปืนที่ใช้ง่ายที่สุดแล้วนะ ทำไมเธอถึงยังใช้ไม่คล่องซักที” มิสะพูดถึงปืนที่อยู่ในมือของชั้น มิสะบอกว่ามันคือปืนกล็อก เป็นปืนที่เหมาะสำหรับเจ้าหน้าที่มือใหม่อย่างชั้นที่สุด เพราะมันค่อนข้างเบา แต่คนอย่างชั้นปืนไหนๆก็ไม่เหมาะทั้งนั้นแหละ ให้ชั้นจับตะหลิว จับหม้อ จะดีกว่ามั้ง
“สงสัยเธอคงไม่เหมาะกับปืนนี้แล้วล่ะมั้ง” เพิ่งรู้หรอคะ... กุลสตรีของชั้นมันไม่เหมาะกับของอันตรายพวกนี้หรอก!!
แต่สักพักเธอกลับหยิบปืนมาให้อีกกระบอก คราวนี้มันเป็นปืนที่มีขนาดที่ค่อนข้างยาวสีดำสนิท เหมือนจะเห็นว่า เวอร์ดี้ สาวลุคทอมบอยที่ซ้อมยิงปืนอยู่ห้องเดียวกันใช้ปืนกระบอกนี้ด้วย
“นี่คือเฮชเคเอ็มพีไฟฟ์ ปืนกลเบาที่ดีที่สุดในโลก ความแม่นยำในการยิงอย่างเธอน่ะ ต้องใช้ปืนกลเบา อย่างน้อยมันก็น่าจะเข้าเป้าบ้าง” มิสะกล่าว พร้อมยื่นปืนกระบอกนั้นให้ชั้น พอชั้นรับมาก็แทบจะทำมันตกในครั้งแรก
เพราะมันหนักมาก!!!
โธ่เอ้ย!! ก็นึกว่าให้เลิกยิง ที่แท้ให้ลองใช้ปืนกระบอกอื่น แถมมันยังใหญ่และหนักกว่าเดิมอีก!!
นี่จะคะยั้นคะยอให้ชั้นเป็นนักแม่นปืนให้ได้เลยใช่ไหม!!!
หลังจากที่ชั้นลองใช้มัน ปรากฏว่าปืนกระแทกโดนเบ้าตาชั้นตั้งแต่ยิงนัดแรก...
ชั้นปล่อยปืนกระบอกนั้นทิ้งลงพื้นแล้วหันมาสำรวจเบ้าตาตัวเอง นอกจากมิสะจะไม่มาดูอาการของชั้นแล้วเธอยังส่ายหัวด้วยท่าทีเหนื่อยใจกับชั้นเต็มที ส่วนเพื่อร่วมห้องซ้อมทั้งสามก็ยิงปืนของตัวเองไม่ได้สนใจสิ่งรอบข้างเลยซักนิด
“งั้นเธอใช้ปืนกล็อกล่ะดีแล้ว” มิสะถอนหายใจ พลางหยิบปืนสั้นกระบอกเดิมขึ้นมา เธอวางไว้บนโต๊ะแล้วไม่พูดอะไรอีก ส่วนตัวชั้นผู้น่าสงสารยังคงปวดเบ้าตานิดๆหน่อยๆ แต่ก็ยังพอทนไหว พลางเดินไปหยิบปืนกล็อกแล้วเริ่มซ้อมยิงปืนอีกครั้ง
หลังจากที่ชั้นซ้อมยิงปืนไปตามยถากรรมได้สักพัก ชายสองหญิงหนึ่งที่ซ้อมยิงปืนแบบไม่สนโลกต่างทยอยกันออกจากห้องซ้อม มิสะซึ่งระหว่างที่ชั้นซ้อมเธอออกจากห้องไปครู่หนึ่ง ก็กลับเข้ามาพร้อมบอกให้ชั้นหยุดพัก พลางยื่นถุงใส่น้ำแข็งให้ชั้น
“เอาไปประคบเบ้าตาเธอซะ” มิสะกล่าว
“ไม่เป็นไรค่ะ” ชั้นปฏิเสธ เพราะดูเหมือนชั้นจะไม่ปวดแล้ว
“เอาไปเถอะ” เธอคะยั้นคะยอจนชั้นรับไว้จนได้ พลางนึกชื่นชมมิสะผู้แข็งกระด้างขึ้นมานิดๆ อย่างน้อยเธอก็แคร์ชั้นนิดนึงอ่ะนะ...
สงสัยเธอจะเป็นสาวซึน?
“คุณมิสะ” หลังจากที่นั่งพักประคบน้ำแข็งสักพัก ชั้นก็เรียกมิสะ เธอหันมาทางชั้น
“ชั้นขอถามอะไรหน่อยได้ไหมคะ?” เกือบสัปดาห์ที่ผ่านมานี้ชั้นกล้าถามกล้าอะไรมากขึ้น แม้มิสะจะดูท่าทางรำคาญแต่เธอก็เริ่มจะตอบคำถามของชั้นเกือบทุกครั้ง
“คือแบบว่า... ไอ้พวกอาวุธแล้วก็อุปกรณ์แปลกๆที่อยู่ที่นี่ใครเป็นคนประดิษฐ์มันขึ้นมาหรอคะ? ชั้นว่ามันเป็นอะไรที่เจ๋งมากเลย โดยเฉพาะโกสท์อายส์” ชั้นถามด้วยน้ำเสียงร่าเริง พลางยกไม้ยกมือไปมา แต่ดูเหมือนมิสะเธอจะไม่ร่าเริงกับชั้นด้วย เอาเถอะ ชินแล้ว...
“อาวุธพวกนั้นมีเจ้าหน้าที่คนนึงเป็นคนติดต่อซื้อมา เขาเคยเป็นอดีตนักค้าขายมาก่อน เลยมีทักษะในการเจรจาได้อาวุธคุณภาพดีๆมาใช้ในราคาไม่แพง” มิสะเล่าให้ชั้นฟัง
“ส่วนอุปกรณ์ต่างๆถูกสร้างโดยเจ้าหน้าที่ฝ่ายพัฒนาอาวุธและอุปกรณ์ รวมทั้งอาวุธก็ถูกส่งต่อไปเพื่อดัดแปลงไว้ใช้ในการปฏิบัติการด้วย”
“โอ้โห แสดงว่าเจ้าหน้าที่ฝ่ายพัฒนาอะไรนั่นต้องเก่งมากๆแน่ ชั้นชักอยากจะเจอคนๆนั้นซะแล้วสิ” ชั้นพูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น
“ชั้นว่าถ้าเธอได้รู้จักเขาเมื่อไหร่ เธอจะเสียใจไปตลอดชีวิต” มิสะพูดน้ำเสียงจริงจัง แต่ชั้นกลับยิ่งตาลุกวาวด้วยความอยากรู้อยากเห็น เคยได้ยินไหมว่ายิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุ
“เห... พูดแบบนี้ชั้นก็ยิ่งอยากรู้สิ คุณมิสะ พาชั้นไปพบเขาหน่อย” ชั้นพูดน้ำเสียงอ้อนๆ แม้รู้ว่ามิสะเธอไม่ใช่คนที่จะอ่อนไหวกับคำพูดแบบนั้น ชั้นละมือจากถุงน้ำแข็งที่ประคบเบ้าตาอยู่แล้วไปเกาะแขนเธอพร้อมเขย่าไปมา
“ชั้นจะได้ถามอะไรๆที่ชั้นไม่รู้ด้วยไง เป็นเจ้าหน้าที่ฝึกหัดมันก็ต้องรู้อะไรหลายๆอย่างใช่ม๊าาา” ชั้นรบเร้า
“เฮ้อ!! น่ารำคาญชะมัด!!” เธอพูดแบบไม่ไยดี พลางสะบัดแขนออก แต่ก็ไม่ทำให้ชั้นเลิกล้มความตั้งใจ ชั้นพยายามเขย่าแขนเธออีกครั้ง คราวนี้เธอเดินหนีออกจากห้องซ้อมปฏิบัติการไปเลย ชั้นเลยเดินตามเธอไป
เสียใจไปตลอดชีวิตงั้นหรือ... หมายความว่ายังไงกันนะ หรือมิสะอาจจะหมายถึง เขาหล่อมาก จนเสียใจที่ไม่ได้เจอเขาเร็วกว่านี้
ก็ว่าไปนั่น...
----------------------------------------------------
“โธ่แค่นี้เอง คุณมิสะ ถือว่าชั้นขอซักครั้งเถอะ” มิสะยังคงเมินคำพูดชั้นเหมือนเคย ตอนนี้ชั้นเดินตามมิสะจนมาถึงห้องโถงทรงกลม เจ้าหน้าที่ที่เดินผ่านไปมาในห้องโถงต่างเหลียวมองชั้นที่เกาะแขนมิสะไม่ปล่อย พลางหัวเราะคิกคัก สงสัยพวกนั้นคงคิดว่าคู่ทอมดี้กำลังงอนกัน แต่ชั้นไม่สนใจเพราะตอนนี้ชั้นจะทำทุกวิถีทางเพื่อที่จะให้คำขอของชั้นเป็นจริงให้ได้
หลังจากที่ชั้นอ้อนเธอมาซักพัก เธอก็หยุดเดิน พร้อมถอนหายใจเบาๆ แล้วหันหน้ามาทางชั้น
“โอเคๆ” มิสะสะบัดมือแล้วทำท่ายกมือยอมแพ้กึ่งๆรำคาญ สงสัยคงจะเริ่มอายที่โดนสายตาประชาชนจ้องมองเป็นตาเดียวกัน ชั้นยิ้มแป้นพร้อมตะโกนไชโยในใจ นี่คงเป็นครั้งแรกที่ชั้นรู้สึกเหมือนกำชัยชนะเหนือมิสะ บอกตรงๆว่ารู้สึกภูมิใจเหลือเกิน (อะไรจะปานนั้น)
“แต่ชั้นบอกไว้ก่อนเลยนะ ว่าเธอเปลี่ยนใจยังทัน แล้วอย่ามาโทษชั้นละกัน” สีหน้าของมิสะจริงจังมาก แต่ชั้นไม่สนใจ ชั้นจินตนาการว่าตัวเองกำลังเต้นรำอยู่กลางสวนดอกไม้ ตอนเดินตามมิสะก็เกือบจะเดินไปเต้นไป
ชั้นตามมิสะจนถึงประตูที่มีป้ายเขียนว่า “ห้องพัฒนาอาวุธและอุปกรณ์” เมื่อประตูเปิดออก พบว่าภายในเป็นบันไดมืดๆลงไปอีก มีหลอดไฟเล็กๆติดเป็นจุดๆเพื่อเพิ่มแสงสว่าง แต่มันก็ไม่ช่วยอะไรเท่าไหร่
ดูท่าทางลึกลับดีแฮะ ยิ่งน่าค้นหาเข้าไปใหญ่...
เมื่อลงบันไดมาจนสุดทางก็เป็นประตูอีกบานหนึ่ง เป็นประตูไม้ธรรมดาๆเก่าๆผุๆ ไม่ใช่ประตูอัตโนมัติเหมือนบานอื่นๆ มิสะเคาะประตูบานนั้น เสียงดังกังวานไปทั่ว ก่อนที่เธอจะเปิดประตูเข้าไปภายใน...
ภาพที่เห็นตรงหน้าทำให้ชั้นตาโตด้วยความตื่นตะลึง ภายใต้ประตูไม้เก่าๆนั้นเปรียบเสมือนโลกที่ชั้นไม่เคยเห็นมาก่อน มันเป็นห้องกว้างใหญ่ที่ถูกทาด้วยสีฟ้าอ่อนดูสบายตา ทั้งห้องเต็มไปด้วยเครื่องไม้เครื่องมือที่ชั้นไม่รู้จักเต็มไปหมด ทั้งเครื่องขนาดเล็กประมาณเตาไมโครเวฟ ไปจนถึงขนาดใหญ่เท่าตู้เย็นสี่ตู้เรียงซ้อนกัน ชั้นเดินชมอย่างตื่นตาตื่นใจ แม้ไม่รู้ว่ามันใช้ทำอะไร
สายตาของชั้นกวาดมองไปทั่วทั้งห้อง ดวงตาของชั้นส่องประกายปิ๊งๆเมื่อเห็นเครื่องมือแปลกๆเหล่านั้น
แต่ชั้นกลับเจออะไรที่แปลกกว่าเครื่องมือพวกนั้นหลายเท่า
ซึ่งมันต่างกันตรงที่เมื่อชั้นเห็นมันแล้วสีหน้าดี๊ด๊าของชั้นตอนแรกกลายเป็นขมวดคิ้วพันกันจนยุ่ง ถ้าให้บรรยายความรู้สึกของชั้นในตอนนี้ให้เห็นภาพ ก็คงจะประมาณดีดกีตาร์อยู่ดีๆแล้วสายขาดดังผึง
เมื่อชั้นเห็นบุคคลประหลาดสวมชุดสีขาวทั้งตัว ตรงนั้นไม่แปลกเท่าไหร่ แปลกตรงที่ศีรษะของเขา
ศีรษะของเขาเหมือนถูกอะไรบางอย่างครอบไว้ หรือจะเรียกว่าหน้ากากหรือหมวกชั้นก็ไม่แน่ใจ แต่มันคลุมทั้งศีรษะของเขาแล้วมีช่องให้ดวงตาโผล่ออกมาแค่นั้น
“มีคนบ้าที่นี่ด้วยหรอ” ชั้นกระซิบกับมิสะ แต่เธอไม่ตอบอะไร จนบุคคลลึกลับคนนั้นหันมามองชั้น โกสท์อายส์ของชั้นอ่านชื่อเขาได้ว่า คิจภัค คิดถึง.... เอ่อ... คิดถึง.... เอ่อ... คิดถึง เอ่อ.... ช่างแม่งเถอะ...
เพราะมันอ่านไม่ออก!!!
“อ้าว มาเยี่ยมหรอ” บุรุษชื่อประหลาดพูดภายใต้หน้ากาก น้ำเสียงของเขาแหลมแสบแก้วหู เหมือนพวกตัวร้ายบ้าๆบอๆในการ์ตูนอะไรแบบนั้น
“พาใครมาด้วย... น่า...” เขาเว้นช่วงไว้แค่นั้น ราวกับให้ชั้นเติมข้อความลงในช่องว่าง
ปกติชั้นมักจะเจอกับรักแรกพบ แต่สำหรับเจ้าบ้านี้คงจะเป็นเกลียดแรกพบ...
“อ่ะ ชั้นพาเธอมาพบเขาละ”
“พบเขา??” ชั้นทวนคำพูดของมิสะแบบงงๆ
อย่าบอกนะว่า...
ไอ้บ้าที่ยืนอยู่ตรงหน้านี่เป็นเจ้าหน้าที่พัฒนาอะไรที่ว่านั่น!!!
ถ้าใครยังจำจินตนาการที่ชั้นเต้นรำบนทุ่งดอกไม้ได้ ตอนนี้มันคงกลายเป็นเดินหงอยท่ามกลางต้นถั่วงอก...
“อยากพบผมหรอ โฮ่ววว เพิ่งเคยมีนี่ละ” เขาพูด
“ผมเป็นเจ้าหน้าที่พัฒนาอาวุธและอุปกรณ์ ชื่อด็อกเตอร์คิจภัค คิดถึงคิษฐ์แคฏฐ์” เขาแนะนำตัว... ว่าอะไรนะ??
แม้ชั้นจะอ่านชื่อของเขาได้จากโกสทอายส์ก็ตาม แต่ก็อย่างที่บอกไปว่ามันอ่านไม่ออก
และนี่ชั้นก็ฟังไม่ออกด้วย!!
“ห๊า??” ชั้นร้องออกไปด้วยอารมณ์ประมาณว่า เมื่อกี้ชั้นได้ยินอะไรกันวะ??
“คิจภัค คิดถึงคิษฐ์แคฏฐ์”
“ห๊า???”
“โว๊ะ!!” เขามีท่าทีหงุดหงิด ชั้นไม่รู้ว่าสีหน้าเขาเป็นยังไงเพราะหน้ากากบังอยู่ แต่คงเป็นสีหน้าที่รำคาญชั้นพอดู
แต่ที่แน่ๆชั้นรำคาญยิ่งกว่ากับไอ้ชื่อบ้าบอคอแตกนั้น!!
“เรียกคิจภัคก็พอ” เขาพูด ชั้นก็คิดว่างั้น...
“เธอจะถามอะไรก็รีบถาม ชั้นอยากออกไปละ” มิสะกอดอกมองชั้นอยู่ไกลๆ ท่าทางเธอจะอยากออกจากห้องนี้เหลือเกิน
จะบอกว่าชั้นก็ด้วย...
“แหม มิสะจัง ยังเย็นชาเหมือนเดิมเลยนะ นี่มันคุณสมบัติของสาวซึนเลยนะ ต่างกันตรงที่ เธอ เอ่อ.... ไม่แบน” คิจภัคพูดพร้อมทำท่ายกมือขึ้นมาระดับหน้าอก พร้อมขยับนิ้วทั้งสิบไปมา
“ใครสั่งให้นายเรียกชั้นว่ามิสะจัง!!” มิสะคำราม มองเผินๆเหมือนเพื่อนสองคนหยอกล้อกัน แต่จากสีหน้าและน้ำเสียงของมิสะ พอจะมองออกว่าเธอไม่ชอบจริงๆ ส่วนคิจภัคหัวเราะเสียงแหลมแบบไม่รู้สึกรู้สาอะไร
“เอาล่ะสาวน้อย มิสะจังบอกว่า...” คิจภัคหยุดพูดไปครู่หนึ่ง เพราะมิสะจ้องมองเขาด้วยแววตาถมึงทึงราวกับอยากจะฝากรอยเท้าไว้ที่ใบหน้าของเขาเต็มทน
“เอ่อ... มิสะบอกว่าเธอมีอะไรจะถาม ว่ามาเลย แต่อย่าถามเรื่องเงินละกัน เพราะผมก็บ่จิ๊” เขาหัวเราะคิกคัก บอกตรงๆคำถามมากมายที่ชั้นอยากจะถามมันอันตรธานหายไปหมดเมื่อได้เจอคนบ้าบอแบบเขา
แต่ไหนๆก็มาแล้ว ถามก็ถามวะ...
“อุปกรณ์พวกนั้น คุณสร้างมาได้ไง อย่างเช่นเอ่อแบบ... โกสท์อายส์” ชั้นพยายามแหวกสมองเพื่อที่จะควานหาคำถามที่มันหายไป ซึ่งคำถามแรกที่ชั้นควานหาพบคือคำถามนี้
ไม่รู้ทำไมตอนนี้ชั้นถึงรู้สึกว่าเขาดูจริงจังมากขึ้นเมื่อกำลังจะตอบคำถามของชั้น...
“จีเอเนอร์จี้ยังไงล่ะ” เอาพูดคำศัพท์ที่ชั้นไม่รู้จัก
“มันคือพลังงานสำคัญในการสร้างทุกสิ่งทุกอย่างที่สามารถติดต่อกับวิญญาณได้ ไม่ว่าจะทางการมองเห็น การสัมผัส หรือความรู้สึก มันถูกสกัดจากตัววิญญาณโดยตรงแล้วถูกแปรสภาพเป็นรังสี ไม่ว่าจะเป็นโกสท์อายส์ อาวุธทุกชนิด รวมทั้งกระสุนปืน ก็จะถูกอาบด้วยพลังงานจีเสียก่อน เพื่อที่จะทำให้สิ่งเหล่านั้นสามารถติดต่อกับวิญญาณได้” คิจภัคอธิบายยืดยาวแบบคร่าวๆ
“รวมทั้งร่างกายเธอก็ต้องถูกอาบด้วยพลังงานจีด้วย” เขาพูดส่งท้าย ทำให้ชั้นนึกถึงตอนที่ เอ่อ... ถูกมิสะบังคับให้แก้ผ้าแล้วอาบรังสีประหลาดๆ รังสีนั้นคือสิ่งที่เรียกว่าจีเอเนอร์จี้สินะ... ชั้นพอจะเข้าใจอะไรขึ้นมาหน่อยๆล่ะ...
“หวังว่าเธอคงเข้าใจสิ่งที่ผมบอกนะ” คิจภัคพูดพลางหัวเราะ มาดที่ดูจริงจังของเขาเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วราวกับจิ้งจกเปลี่ยนสี
“นั่นแค่ข้อมูลโดยคร่าวๆ เพราะถ้าจะให้อธิบายแบบละเอียดล่ะก็ เธอต้องมาอยู่กับผมคืนนึง”
“ห๊า??”
“ตกใจอะไรของเธอ ข้อมูลมันยาวเหยียดขนาดนั้นก็ต้องใช้เวลาในอธิบายนานสิ”
“ไปกันเถอะ” ยังไม่ทันที่ชั้นได้พูดอะไร มิสะก็จูงมือชั้นออกไปจากห้อง โดยที่คิจภัคโบกมือหยอยๆให้ชั้นและมิสะ จนกระทั่งพ้นประตูห้อง มิสะปิดประตูไม้เก่าๆอย่างแรงจนประตูแทบจะพังครืนลงมา
“เข้าใจที่ชั้นพูดหรือยัง ว่าทำไมชั้นถึงบอกว่าเธอจะเสียใจที่ได้รู้จักเขา” อยากจะบอกว่า... เข้าใจมากๆเลยค่ะ...
“เขาก็ดูเพี้ยนหน่อยๆแบบนี้นี่แหละ” เอ่อ ชั้นว่าไม่เพี้ยนหรอก แต่โคตรเพี้ยนต่างหาก...
“เธออยากจะเจอเขาอีกไหม”
“ม่ายยยย!!!” ชั้นตอบแทบจะในทันที...
----------------------------------------------------
หลังจากเดินกลับออกจากห้องของด็อกเตอร์ประหลาดนั่น มิสะก็บอกให้ชั้นไปรอหน้าห้องซ้อมปฏิบัติการ ชั้นยืนมองนู่นมองนี่ เห็นเจ้าหน้าที่ชายคนนึงเดินสูบบุหรี่ผ่านหน้าชั้นไป ควันบุหรี่ลอยมาแต่ไกล ชั้นใช้มือแกว่งไปมาบริเวณจมูกเพื่อไล่ควันพิษ พลางด่าเจ้าหน้าที่คนนั้นในใจ มาสูบบุหรี่ในที่สาธารณะแบบนี้คนอื่นเค้าเดือดร้อนรู้ไหมเนี่ย?? ว่าแล้วชั้นก็หันไปมองเจ้าหน้าที่ไร้จิตสำนึกคนนั้นอีกครั้ง โกสท์อายส์อ่านชื่อเขาว่า เรียวชิน มิคาโดะ ชั้นจะจำชื่อนี้ไว้ เจออีกรอบล่ะก็จะด่าเช็ดเลย
เมื่อชั้นหันกลับไป ชั้นถึงกับตาโตเป็นไข่ห่านเมื่อเห็นกับ...
หญิงสาวผมสั้นประบ่าสีดำ เธอสวมชุดว่ายน้ำสีขาวโชว์สัดส่วนอันสุดยอด ชั้นใช้โกสท์อายส์อ่านสัดส่วนของเธอก่อนเป็นอันดับแรก เธอมีหน้าอกสี่สิบสอง เอวยี่สิบเก้า และสะโพกสามสิบแปด ก่อนที่ชั้นจะอ่านชื่อเธอ เธอมีชื่อว่า ออนดะ มาโมรุ อายุยี่สิบ ชั้นอ่านได้แค่นั้นก็ต้องหันหน้าหนีเพราะเหมือนเธอจะรู้ว่าชั้นมองอยู่ แต่จริงๆไม่น่าจะไปสนใจอะไรมากเพราะชั้นเห็นเจ้าหน้าที่หนุ่มๆต่างหันมองเธอตาเป็นมัน
เป็นใครใครก็มอง หญิงสาวในชุดว่ายน้ำ หุ่นสะบึมขนาดนั้น
ว่าแต่ที่นี่มีสระว่ายน้ำด้วยหรอ??
ชั้นหันมองตามเธอเมื่อเธอเดินผ่านชั้นไปไกล เห็นมิสะเดินสวนเธอมาพอดี แต่มิสะหยุดทักทายกับหญิงสาวในชุดว่ายน้ำเหมือนจะรู้จักกันดี ก่อนที่มิสะจะเดินมาหาชั้น
“มองอะไรของเธอ” มิสะพูดขึ้นเมื่อเห็นดวงตาของชั้นไม่ได้โฟกัสไปที่เธอ
“มองมาโมรุหรอ? นี่เธอเป็นตาแก่หื่นกามหรือไง”
“แล้วผิดตรงไหนล่ะ ก็เธอออกจะสวย หุ่นดีขนาดนั้น” ชั้นกล่าว
“แล้วที่นี่มีสระว่ายน้ำด้วยหรอ” ชั้นถาม เพราะถ้ามีคนใส่ชุดว่ายน้ำแบบนี้แสดงว่ามันน่าจะมีสระว่ายน้ำอยู่ที่ไหนซักแห่ง เผื่อว่างๆชั้นจะได้ไปว่ายน้ำเล่น
ถึงจะรู้ว่าจริงๆมันก็ไม่ค่อยว่างเท่าไหร่นักอ่ะนะ...
“เปล่านี่” มิสะปฏิเสธด้วยสีหน้าเรียบๆ ในขณะชั้นกำลังมโนว่าตัวเองใส่ชุดว่ายน้ำสีสดใส ว่ายน้ำอย่างมีความสุข
“ที่มาโมรุใส่ชุดว่ายน้ำเพราะเธอมีรสนิยมแบบนี้มานานแล้วล่ะ ชุดว่ายน้ำนั่นคือชุดปฏิบัติการของเธอ”
เอ่อ...
ชั้นติดสตั้นท์ไปชั่วครู่ พลางคิดว่าองค์กรนี้มันแหล่งรวมคนแปลกหรือเปล่านะ...
แต่ก็เอาเถอะ อย่างน้อยก็ดูสวยๆงามๆ ไม่อุบาทว์เหมือนผู้บังคับบัญชาที่ใส่แต่บ็อกเซอร์กับรองเท้าแตะแล้วกัน...
“เอาล่ะ อย่ามัวโอ้เอ้ ไปซ้อมยิงปืนต่อ...” เมื่อมิสะพูดจบ เธอก็หันไปแล้วทำท่าเหมือนติดต่อกับใครบางคน ก่อนที่เธอจะกันกลับมาทางชั้น
“เธอซ้อมยิงปืนไปเลยนะ มีภารกิจเข้ามา หรือเธอจะกลับบ้านไปเลยก็ได้” มิสะกล่าว แล้วพูดชื่อสถานที่ใส่โกสท์อายส์ว่า โรงเรียนเอกชนมิคาซึกิ
“เดี๋ยว!!” ชั้นโพล่งออกไปจนมิสะที่กำลังจะเดินไปถึงกับหยุดชะงัก
เพราะนั่นมันโรงเรียนที่ชั้นเรียนอยู่...
“ที่นั่นมันโรงเรียนชั้น เกิดอะไรขึ้นที่นั่น??”
“ไม่มีเวลามาอธิบาย เวลานี้ไม่มีใครอยู่โรงเรียนหรอก อย่ากังวลไปเลย ชั้นไปล่ะ” มิสะวิ่งไปทันที ชั้นพยายามร้องเรียนแต่ไม่ทัน
ชั้นเดินเข้าห้องซ้อมปฏิบัติการโดยที่ในหัวคิดแต่เรื่องโรงเรียนของชั้น มันเกิดอะไรขึ้นที่นั่น?? ร้ายแรงแค่ไหน?? แบบผีสาวที่ชั้นเคยเจอเมื่อตอนนั้นหรือเปล่า??
แต่สุดท้ายชั้นก็โล่งใจได้นิดหน่อย เวลาป่านนี้ไม่มีใครอยู่โรงเรียนหรอก ยัยมิโอะก็คง...
ทันใดนั้นภาพในอดีตที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อประมาณสามชั่วโมงก่อนก็ฉายขึ้นมาในมโนภาพ...
----------------------------------------------------
“โนโดกะจัง จะกลับแล้วหรอ” เสียงอันคุ้นเคยดังขึ้นขณะที่ชั้นกำลังเก็บข้าวของใส่กระเป๋าเมื่อได้ยินเสียงออดเลิกเรียน มันเป็นเสียงของเด็กสาววัยไล่เลี่ยกับชั้น เธอมีผมยาวประบ่าสีน้ำเงินเข้ม สวมแว่นตา บ่งบอกถึงความเป็นเด็กเรียน ขัดกับสรีระของเธอซึ่งมีหน้าอกถึงสี่สิบ ซึ่งมันดูไม่ค่อยเข้ากันกับลุคเด็กเรียนของเธอเท่าไหร่
เธอก็คือหัวหน้าประจำห้องมัธยมปลายปีสามห้องสาม คาวากุชิ มิโอะ หรือมิโอะจังเพื่อนสนิทของชั้นนั่นเอง
“ใช่ๆ เหนื่อยชะมัดเลยล่ะ อยากกลับบ้านนอนล่ะ” ชั้นยิ้มให้มิโอะ แต่จริงๆคือชั้นกำลังจะไปที่องค์กรโกสท์ฮันเตอร์ที่ชั้นต้องไปฝึกซ้อมในฐานะเจ้าหน้าที่ฝึกหัดทุกเย็น ถ้าบอกมิโอะไปว่าชั้นกำลังจะเป็นนักล่าผีล่ะก็คงโดนเธอด่ายัยบ๊องแหงๆ
“เดี๋ยวนี้เธอกลับบ้านเร็วทุกวันเลยนะ มีอะไรหรือเปล่า” มิโอะถาม
“เปล่าหรอก” ชั้นดัดน้ำเสียงให้เป็นปกติ ไม่เผลอขึ้นเสียงสูงเหมือนเวลาคนเขาโกหกกัน
“แล้วมิโอะล่ะ ยังไม่กลับบ้านหรอ” ชั้นเบี่ยงประเด็น
“ชั้นยังกลับไม่ได้ ต้องอยู่ช่วยงานของอาจารย์ กว่าจะได้กลับคงดึกๆนู่นเลยล่ะ”
“ชั้นว่าเธอนั่นแหละที่ต้องรีบกลับบ้านไปพักผ่อนบ้างนะ” ชั้นพูดด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง มิโอะเป็นคนที่มีหน้าที่ให้รับผิดชอบเยอะมากจนชั้นรู้สึกสงสารเธอ เพราะอะไรๆก็ต่างถูกโยนมาให้เธอทำจนหมด ด้วยตำแหน่งหัวหน้าห้องที่เธอแบกรับเอาไว้
“ไม่หรอกๆ” มิโอะพูดด้วยน้ำเสียงร่าเริง
“ยังไงก็กลับบ้านดีๆล่ะ เจอกันพรุ่งนี้” มิโอะโบกมือลา ชั้นโบกมือกลับ แล้วคว้ากระเป๋าเดินออกจากห้องเรียน
----------------------------------------------------
“ชั้นยังกลับไม่ได้ ต้องอยู่ช่วยงานของอาจารย์ กว่าจะได้กลับคงดึกๆนู่นเลยล่ะ” ยัยมิโอะยังอยู่ที่โรงเรียน...
ชั้นไม่มีเวลาต้องมาคิดอะไรทั้งสิ้น... ชั้นคว้าปืนกล็อกที่ชั้นใช้ฝึกซ้อมขึ้นมาถือไว้ พร้อมโกยกล่องกระสุนไปจำนวนหนึ่ง
“โรงเรียนเอกชนมิคาซึกิ” ชั้นพูดชื่อสถานที่ใส่โกสท์อายส์แล้วมุ่งตรงไปยังสถานที่นั้นทันที...
----------------------------------------------------VIDEO
----------------------------------------------------
Ghost Hunter Archives
Weapon Data #3 Glock กล็อก คือปืนพกที่มีน้ำหนักค่อนข้างเบาเนื่องจากวัสดุที่ใช้ส่วนใหญ่เป็นพลาสติก ใช้กระสุนขนาด 9 มม. เป็นปืนพกที่เจ้าหน้าที่โกสท์ฮันเตอร์ไม่ค่อยใช้ออกปฏิบัติการเท่าไหร่เนื่องจากประสิทธิภาพของมันต่ำมาก แต่เหมาะสำหรับเจ้าหน้าที่มือใหม่ และเหมาะสำหรับใช้ฝึกซ้อม เพราะด้วยแรงสะท้อนที่ค่อนข้างน้อยของมัน
Weapon Data #4 Heckler & Koch MP5 เฮคแลร์แอนด์คอค เอ็มพีไฟฟ์ เรียกสั้นๆว่าเฮชเคเอ็มพีไฟฟ์ หรือเอ็มพีไฟฟ์เฉยๆ เป็นปืนกลเบาที่ได้ขึ้นชื่อว่ามีประสิทธิภาพดีที่สุดเป็นอันดับหนึ่งของโลก ถูกใช้โดยกองกำลังต่างๆในหลายๆประเทศ สามารถยิงเป็นชุดแบบอัตโนมัติหรือยิงแบบเซมิออโต้ก็ได้ เป็นหนึ่งในอาวุธที่เจ้าหน้าที่หน่วยโกสท์ฮันเตอร์ทั่วไปนิยมใช้
Other Data #2 G Energy จีเอเนอร์จี้ หรือชื่อเต็มๆก็คือ โกสท์เอเนอร์จี้ (หรือเรียกว่าพลังงานจี) คือพลังงานจากวิญญาณ ที่หน่วยโกสท์ฮันเตอร์ทำการสกัดมาจากวิญญาณโดยตรง ให้อยู่ในรูปแบบของรังสี โดยพลังงานจีมีความสำคัญเป็นอย่างมาก เพราะมีไว้สำหรับเป็นส่วนประกอบในการทำอาวุธและอุปกรณ์ทุกชนิดให้มีอำนาจในการเชื่อมต่อกับวิญญาณได้ เช่น โกสท์อายส์ก็ถูกสร้างขึ้นมาจากพลังงานจีเพื่อให้สามารถมองเห็นวิญญาณได้ กระสุนปืนก็ถูกอาบด้วยพลังงานจีเพื่อให้สามารถทำอันตรายวิญญาณได้ เป็นต้น รวมทั้งเจ้าหน้าที่โกสท์ฮันเตอร์ทุกคนเองก็ต้องอาบพลังงานจีเพื่อให้สัมผัสวิญญาณได้เช่นกัน