----------------------------------------------------
“ขอทางหน่อยครับ” ชายในชุดสูทสากลสีดำปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับชูบัตรประจำตัวเหนือศีรษะ เหล่าผู้คนที่ต่างมุงดูกับเหตุการณ์บางอย่างจึงค่อยๆหลีกทางให้กับเขาอย่างว่าง่าย ชายคนดังกล่าวค่อยๆลอดผ่านเทปตำรวจสีเหลืองสำหรับป้องกันไม่ให้ผู้คนเข้าใกล้ที่เกิดเหตุ สำหรับเขาทีสามารถลอดผ่านเทปดังกล่าวได้โดยไม่มีใครขัดข้องแสดงว่าเขาต้องเป็นหนึ่งในเจ้าหน้าที่ตำรวจหรือไม่ก็ผู้ที่เกี่ยวข้อง
“เป็นยังไงบ้าง?” ชายในชุดสูทสอบถามกับตำรวจที่กำลังตรวจสอบร่างโชกเลือดของชายผู้หนึ่ง เขาไม่มีลมหายใจอีกต่อไปแล้ว หรือต่อให้มีเขาก็คงสาหัสจนยากที่จะช่วยเต็มทนเพราะศีรษะของเขาบุบเละจนแทบจะเห็นสิ่งที่อยู่ภายในกะโหลกศีรษะ
“สภาพดูไม่จืดเลยผู้หมวด” ตำรวจผู้นั้นกล่าว ชายที่ถูกเรียกว่าผู้หมวดจึงเดินไปตรวจสอบสภาพศพของชายนิรนามผู้เคราะห์ร้าย
“ใช่ ดูไม่จืดเลยจริงๆ” ผู้หมวดพูดขึ้น
“คงมีใครใช้วัตถุแข็งๆฟาดใส่เขา จากนั้นก็ฟาดย้ำๆที่ศีรษะจนเละใช่ไหมครับ?” นายตำรวจตั้งข้อสันนิษฐาน
“ไม่ใช่” ผู้หมวดปฏิเสธข้อสันนิษฐานของนายตำรวจอย่างไม่ใยดี ทำให้นายตำรวจถึงกับทำหน้าเจื่อนๆ
“ดูที่กำแพงสิ” ผู้หมวดกล่าว พร้อมชี้นิ้วไปที่กำแพง เผยให้เห็นรอยเลือดที่เริ่มแห้ง
“รอยเลือดจากศพ และเป็นสาเหตุของสภาพศีรษะเละแบบนั้น”
“ดังนั้นจึงสันนิษฐานได้ว่า เขาเสียชีวิตจากการที่ศีรษะกระแทกกับกำแพง ซ้ำแล้ว ซ้ำเล่า” ผู้หมวดจำลองเหตุการณ์
“อย่างนี้นี่เอง คนร้ายลอบทำร้ายเขาจากด้านหลัง แล้วเอาศีรษะของเขากระแทกกับกำแพงสินะครับ?” นายตำรวจตั้งข้อสันนิษฐานอีกครั้ง
“ไม่ใช่” และผู้หมวดก็ปฏิเสธข้อสันนิษฐานของนายตำรวจอีกครั้งเช่นกัน ทำให้นายตำรวจเริ่มคิดได้ว่าเขาควรรับฟังเฉยๆจะดีกว่า
“สภาพศพของเขา ไม่มีร่องรอยใดๆนอกจากที่ศีรษะ ซึ่งหมายความว่าไม่มีร่องรอยของการต่อสู้หรือขัดขืนเลย นายคิดว่าเขาจะยอมให้ถูกโขกกำแพงซ้ำๆแบบนั้นง่ายๆงั้นหรือ? สรุปได้ว่าการที่ศีรษะของเขากระแทกกำแพงซ้ำๆ เกิดจากความเต็มใจของเจ้าตัวเอง” ผู้หมวดอธิบายยาวเหยียดจนเห็นภาพ
“งั้นก็แสดงว่า...” นายตำรวจพูดทิ้งช่วง ก่อนที่ผู้หมวดจะพูดต่อขึ้นมา
“เขาฆ่าตัวตายด้วยการเอาศีรษะกระแทกกำแพงซ้ำแล้วซ้ำเล่า”
----------------------------------------------------
“หม่าม้า!!??”
โนโดกะเปล่งคำพูดนั้นออกมาอย่างยากลำบากเมื่อได้เห็นบุคคลตรงหน้า หญิงสาวผู้มีผมยาวไปจนถึงแผ่นหลังสีน้ำตาล เธอมีดวงตาสีน้ำตาลและใบหน้าที่ดูเรียวสวย เธอคว้าแขนของมิสะที่กำลังจะลงมีดกับสองวิญญาณหนุ่มสาวที่ดูไร้ทางสู้
จะว่าไปก็เธอดูคล้ายกับโนโดกะในรูปแบบที่สูงวัยยังไงยังงั้น...
“เจ้าหน้าที่โกสท์ฮันเตอร์ที่ดีต้องไม่ทำร้ายวอนเดอร์เรอร์นะ” หญิงสาวคนนั้นกล่าวกับมิสะ
ภาพในอดีตของโนโดกะเริ่มย้อนกลับเข้ามาในความทรงจำ อดีตที่ทำให้เธอเชื่ออยู่เสมอว่าบุคคลที่อยู่ตรงหน้าเธอได้จากไปแล้ว...
คุณแม่ของเธอ...
----------------------------------------------------
“โนโดกะจัง ทำใจดีๆไว้นะลูก หม่าม้าจากเราไปแล้วนะ” คำพูดของผู้เป็นพ่อทำให้โนโดกะนิ่งเงียบ เธอยังคงอ้าปากค้างเพราะเธอเพิ่งจะถามถึงคุณแม่ของเธอไป
“ไม่จริงใช่ไหมคะป๊ะป๋า” โนโดกะพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
“ช่วยแลบลิ้นแล้วบอกว่าป๊ะป๋าล้อเล่นเหมือนทุกครั้งสิคะ... ได้โปรด...” น้ำใสๆเริ่มไหลรินออกมาจากดวงตาของโนโดกะ แม้ริมฝีปากของเธอจะพยายามฝืนยิ้มด้วยความหวังเพียงเล็กน้อยว่าเรื่องทั้งหมดที่เธอได้ยินจะไม่ใช่ความจริง
“ลูก...” โนโดกะถูกคุณพ่อของเธอดึงมาสวมกอด ทำให้เธอเริ่มปล่อยโฮออกมา
“หม่าม้าจากไปแล้วจริงๆลูก... หม่าม้าไม่อยู่กับเราแล้ว...” ผู้เป็นพ่อยังคงตอกย้ำความจริงให้โนโดกะได้รับรู้ มันยิ่งทำให้น้ำตาของโนโดกะไหลพรากออกมามากกว่าเดิม มากเสียจนเปียกเสื้อผ้าของผู้เป็นพ่อที่ยังคงกอดและลูบศีรษะเธอเบาๆ
คุณแม่ของเธอได้จากไปแล้วจริงๆ...
----------------------------------------------------
“ปล่อยหนู!!! หนูจะไปหาหม่าม้า!!!!!”
โนโดกะพยายามที่จะขอดูใบหน้าคุณแม่เธอเป็นครั้งสุดท้ายในงานศพที่ถูกจัดขึ้นอย่างเรียบง่าย แต่กลับถูกคุณพ่อของเธอห้ามปรามไว้โดยให้เหตุผลว่าไม่อยากให้โนโดกะต้องมานั่งร้องไห้ฟูมฟายอีก จนทำให้เธอถึงกับโวยวายและร้องไห้ออกมาอย่างไม่อายใครท่ามกลางสายตาของแขกเหรื่อที่จ้องมองเธอเป็นตาเดียว ทำให้คุณพ่อต้องพาตัวเธอออกมานอกงานชั่วคราวเพื่อไม่ให้เกิดความวุ่นวายจนกระทั่งโนโดกะเริ่มสงบสติอารมณ์ได้โดยมีคุณพ่อของเธอคอยดูแลตลอด
หลังจากสิ้นสุดพิธีศพของคุณแม่ของโนโดกะ คุณพ่อของเธอก็ได้จากไปอีกคน...
การด่วนจากไปแทบจะต่อเนื่องกันของคุณพ่อและคุณแม่ทำให้โนโดกะเกือบจะตรอมใจและหมดอาลัยตายอยาก โชคดีที่เธอยังมี คาวากุชิ มิโอะ เพื่อนสนิทที่สุดของเธอคอยอยู่เคียงข้างมาตลอด ทำให้โนโดกะที่สิ้นหวังจึงเริ่มกลับมาร่าเริงอีกครั้ง...
----------------------------------------------------
“โนโดกะจัง!!” เสียงของ “คุณแม่” ทำให้โนโดกะกลับมาสู่ปัจจุบันอีกครั้ง ในขณะที่เธอกำลังสับสน “คุณแม่” ของเธอก็โผเข้ามาสวมกอดเธอแบบที่เธอไม่ทันตั้งตัว
ไออุ่นของอ้อมกอดอันคุ้นเคยทำให้น้ำตาของโนโดกะเริ่มไหลรินอีกครั้ง เพียงแต่ครั้งนี้มันเป็นน้ำตาแห่งความสุข เธอกอดคุณแม่ของเธออย่างแนบแน่นด้วยความคิดถึงอย่างเปี่ยมล้นราวกับเกรงว่าบุคคลที่อยู่ตรงหน้าจะหายไปอีกเป็นครั้งที่สอง ท่ามกลางเจ้าหน้าที่โกสท์ฮันเตอร์ที่ยืนมองด้วยความยินดีเมื่อโนโดกะได้พบเจอกับคนในครอบครัวที่จากไปนานอีกครั้งหนึ่ง
----------------------------------------------------
หลังจากที่โนโดกะได้พบเจอกับ “คุณแม่” ของเธอหรือโฮชิมุระ โนโซมิ เจ้าหน้าที่ทุกคนก็ต่างได้เวลาพักผ่อนชั่วคราวและวางแผนที่จะจัดการกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ระหว่างนั้นโนโดกะที่ได้พบเจอกับคุณแม่อีกครั้งก็ได้พูดคุยถึงเรื่องราวต่างๆ แน่นอนว่าโนโดกะมีเรื่องที่จะต้องถามและพูดคุยกับคุณแม่ของเธออีกมากมาย
“สรุปคือหม่าม้าก็เป็นเจ้าหน้าที่โกสท์ฮันเตอร์เหมือนกันงั้นหรอคะ?” โนโดกะถามขึ้นหลังจากที่ได้ฟังเรื่องราวบางส่วนจากคุณแม่ของเธอ
“ใช่แล้วล่ะ” โนโซมิยิ้ม
“และคุณโนโซมิก็เป็นเจ้าหน้าที่ระดับแนวหน้าด้วย เก่งยิ่งกว่าชั้นหลายเท่าเลยล่ะ” มิสะเสริม
“แหม ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกมิสะจัง” โนโซมิถ่อมตัว
“ที่หม่าม้าหายไป เพราะหม่าม้าติดอยู่ในมิติวิญญาณระหว่างปฏิบัติภารกิจ แน่นอนว่าเรื่องนั้นป๊ะป๋าเองก็รู้ หม่าม้าขอโทษด้วยนะที่ทำให้ลูกต้องเสียใจ” โนโซมิสำนึกผิดอย่างใจจริง
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ แค่รู้ว่าตอนนี้หม่าม้ายังมีชีวิตอยู่ก็พอแล้วค่ะ” โนโดกะกล่าว
“พิธีศพแบบหลอกๆนั่นป๊ะป๋าก็เป็นคนจัดการเอง เพื่อให้ลูกเชื่อว่าหม่าม้าตายแล้วจริงๆ แต่อย่าโกรธป๊ะป๋าเลยนะ ป๊ะป๋าคงไม่อยากให้ลูกต้องมาพัวพันกับเหตุการณ์อะไรแบบนี้” โนโซมิกล่าวขอโทษแทนสามีของเธอ
“แหะๆ ไม่ทันแล้วล่ะค่ะ ตอนนี้หนูเป็นเจ้าหน้าที่แห่งหน่วยอัลฟ่าไปแล้ว” โนโดกะพูดพร้อมทำท่ากำมือขึ้นฟ้า ทำให้โนโซมิหัวเราะคิกคักในความทะเล้นของลูกสาว
“อีกอย่างหนูไม่โกรธป๊ะป๋าหรอกค่ะ หนูเข้าใจ เพราะอย่างนี้นี่เอง ป๊ะป๋าถึงไม่ยอมให้หนูได้เห็นหน้าหม่าม้าเป็นครั้งสุดท้าย” โนโดกะเริ่มนึกถึงเหตุการณ์ที่งานศพเมื่อในอดีต ที่เธอร้องไห้ฟูมฟายหลังจากที่คุณพ่อพยายามห้ามไม่ให้เธอได้พบหน้าคุณแม่ในโลงศพเป็นครั้งสุดท้าย ซึ่งถ้าหากเธอได้เปิดโลงศพในตอนนั้นออกมาก็คงมีแต่ความว่างเปล่า และอาจจะทำให้เธอโวยวายหนักกว่าเดิมที่ศพของคุณแม่เธอหายไป
“ต้องขอบคุณคุณริวเฮย์กับคุณอากิโกะด้วยนะ ที่ช่วยเหลือหม่าม้าระหว่างที่ติดอยู่ในมิติวิญญาณ” โนโซมิพูดถึงวิญญาณวอนเดอร์เรอร์ชายหญิงสองตน เขาและเธอมีชื่อว่า คุเซะ ริวเฮย์ และคุเซะ อากิโกะ ซึ่งเกือบจะถูกมิสะจัดการไปแล้วแต่โชคดีที่โนโซมิมาห้ามได้ทันท่วงที เขาและเธอเป็นวิญญาณสองสามีภรรยาที่สิงสถิตย์อยู่ในบ้านแห่งนี้ จะเรียกว่าเป็น “ผู้มีพระคุณ” ของโนโซมิก็คงไม่ผิดนัก
“ไม่คิดเลยนะคะว่าคุณโนโซมิจะเป็นคุณแม่ของโนโดกะ” มิสะพูดขึ้น
“เพราะนามสกุลไม่เหมือนกันสินะ ชั้นไม่ได้เปลี่ยนนามสกุลตามสามีน่ะ” โนโซมิไขข้อสงสัยเกี่ยวกับนามสกุลของเธอ ซึ่งทำให้ไม่มีใครคาดคิดเลยว่าโนโดกะจะเป็นลูกสาวของสุดยอดเจ้าหน้าที่อย่างโนโซมิได้
“เปล่าหรอกค่ะ ที่ชั้นพูดหมายถึง... แม่กับลูกนี่ต่างกันราวฟ้ากับเหวต่างหาก” ที่มิสะพูดคงหมายถึงความสามารถของโนโดกะและโนโซมิที่ต่างกันเหลือเกิน เพราะโนโซมินั้นเป็นหนึ่งในเจ้าหน้าที่ระดับสุดยอดของหน่วยอัลฟ่า ในขณะที่โนโดกะยังคงเป็นเจ้าหน้าที่ระดับธรรมดาๆแถมยังดูไม่เอาไหนอีกต่างหากในบางครั้ง
“คุณมิสะ ช่วยชมชั้นบ้างก็ได้นะคะ” โนโดกะงอนหน้างอ
“ชั้นเป็นคนทำให้ภารกิจที่รีสอร์ทลุล่วงไปด้วยดีนะ” โนโดกะเริ่มโอ้อวดวีรกรรมของตนเอง
“ตอนนั้นเธอยังถ่อมตัวอยู่เลยนี่นา ตอนนี้มาอวดซะแล้ว” มิสะแซว
“สนิทกันจังเลยนะ” โนโซมิพูดขึ้น
“ไม่ใช่ซะหน่อย!!” ทั้งโนโดกะและมิสะต่างพูดพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย ทำให้โนโซมิอดอมยิ้มไม่ได้
“เอาล่ะ เลิกผ่อนคลายกันได้แล้ว” มิสะปรับน้ำเสียงของตัวเองให้ดูซีเรียสจริงจังขึ้นจนทำให้เจ้าหน้าที่บางคนถึงกับปรับอารมณ์แทบไม่ทัน รวมทั้งโนโดกะที่ยังคงรู้สึกมีความสุขและผ่อนคลายอยู่
“เราต้องวางแผนกันก่อน ตอนนี้เรายังไม่รู้ตัวบงการของวิญญาณที่อยู่ข้างนอกพวกนั้น สู้ไปก็ไม่มีประโยชน์” มิสะกล่าว
“ผมว่าผมน่าจะพอรู้นะครับ” เจ้าหน้าที่ทุกคนหันควับไปทางต้นเสียง นั่นก็คือเสียงของวอนเดอร์เรอร์ผู้เป็นสามีหรือริวเฮย์ วิญญาณผู้ที่สิงสถิตย์อยู่ในบ้านหลังนี้
“ผมรู้สึกได้นะครับถึงพลังบางอย่างที่พยายามจะควบคุมอากิโกะภรรยาของผม”
“พลังอะไรงั้นหรือ?” มิสะถาม
“ผมก็บอกไม่ถูกครับ แต่มันพยายามจะควบคุมให้ภรรยาผมทำบางสิ่งบางอย่าง แต่ผมช่วยเธอไว้ได้ทัน ผมว่ามันน่าจะมาจากวิญญาณตัวบงการอะไรอย่างที่คุณว่ามา พวกที่อยู่ข้างนอกนั้นก็คงโดนพลังนั่นควบคุมเหมือนกัน” ริวเฮย์อธิบาย
“แต่น่าแปลกที่ผมกลับไม่ได้โดนพลังอะไรนั่นไปด้วย”
“หืม... มีแต่วิญญาณผู้หญิงที่จะโดนพลังอะไรนั่นงั้นรึ...” มิสะลูบคางพลางครุ่นคิด
“พวกเวนเดททร้าที่อยู่ข้างนอกก็มีแต่ผู้หญิงนะ” มาโมรุตั้งข้อสังเกต
“อืม... เลือกทั้งเหยื่อที่เป็นเพศหญิง และวิญญาณที่เป็นเพศหญิง น่าจะเป็นพวกที่มีความพยาบาทต่อผู้หญิงล่ะมั้งนะ” มิสะคาดเดา
“คงจะเป็นพวกที่อกหักจากสาวมาแน่ๆเลย” โนโดกะพูดขึ้นแบบขำๆ ซึ่งก่อนหน้านี้เธอก็พูดในลักษณะนี้ไปสองครั้งแล้วถูกมองด้วยสายตาตำหนิ
“อาจเป็นไปได้” แต่คราวนี้ผิดคาดเมื่อมิสะเออออตามโนโดกะไปด้วย ทำให้โนโดกะถึงกับร้องว่า “เห??”
“เรื่องที่มันน่าแค้นมันก็มีแต่เรื่องรักๆใคร่ๆนี่ล่ะนะ” มิสะกล่าว
“ชั้นก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน” มาโมรุก็เห็นด้วย
“ถ้าแบบนั้นล่ะก็...”
ยังไม่ทันที่มิสะจะพูดจบ อยู่ๆวิญญาณอากิโกะภรรยาของริวเฮย์ก็พุ่งออกไปนอกบ้านอย่างรวดเร็วแบบที่ทุกคนไม่ทันตั้งตัว แม้กระทั่งตัวริวเฮย์เอง ในขณะที่ทุกคนกำลังหยุดนิ่งด้วยความตกตะลึงอยู่นั้น วิญญาณริวเฮย์ก็พุ่งตามอากิโกะไปติดๆ
“หรือว่านั่นจะเป็น...” โนโดกะที่กำลังตกตะลึงอยู่พูดตะกุกตะกัก
“รีบตามไปเร็ว!!!” มิสะพูดแทรกโนโดกะขึ้นมา ทำให้เจ้าหน้าที่ทุกคนต่างพุ่งไปที่ประตูและเคลียร์สิ่งกีดขวางที่ประตูออก เป็นผลทำให้เวนเดททร้าที่อยู่ข้างนอกบางส่วนหลุดเข้ามาข้างในบ้าน แต่ก็ถูกมิสะใช้มีดสั้นในมือจัดการมันจนหมด
“นั่นต้องเป็นฝีมือของเจ้าตัวบงการแน่นอน” เมื่อมิสะพูดจบเจ้าหน้าที่ทุกคนก็ต่างจับอาวุธในมือของตัวเองไว้มั่นแล้วบุกตะลุยออกไปนอกบ้านทันที
----------------------------------------------------
“นี่คุณหมายความว่ายังไง??” ชายหนุ่มถามหญิงสาวหน้าตาสะสวยผู้ที่อยู่เบื้องหน้าของตนเองด้วยน้ำเสียงที่ดูเหมือนจะได้ยินอะไรบางอย่างที่เขาไม่อยากจะเชื่อหูจากปากของหญิงสาว
“นายหูหนวกหรอ?? ชั้นบอกว่าเราเลิกกันเถอะ” หญิงสาวกล่าวด้วยน้ำเสียงห้วนๆ
“ทำไมล่ะ?? ผมมันไม่ดีตรงไหน??” ชายหนุ่มยังคงดูมีท่าทีที่ไม่เข้าใจ
“นี่นายอย่าพูดมากได้ไหม?? เลิกก็คือเลิก อย่ามาเซ้าซี้น่ารำคาญ” หญิงสาวพูดแบบไม่ใส่ใจความรู้สึกของคู่สนทนาแม้แต่น้อยแล้วทำท่าจะหันหลังเดินกลับ
“เวลาที่ผ่านมาคุณไม่เคยรักผมเลยหรอ?? ทำไมคุณทำกับผมแบบนี้!!” ชายหนุ่มตะคอกแล้วคว้าแขนหญิงสาวที่กำลังจะเดินหนี
“ปล่อยนะ!!” หญิงสาวสะบัดแขนออกด้วยท่าทีรังเกียจ
“บอกให้ตรงๆเลยละกันนะ หน้าตาเหียกๆอย่างนายคิดเหรอว่าชั้นจะสนใจ ถ้านายไม่มีเงินน่ะ?? ห๊ะ?? ชั้นยอมคบกับนายเพราะนายมีเงินไง แต่ตอนนี้นายมันถังแตก” หญิงสาวพูดด้วยน้ำเสียงสุดทน
“เห๊อะ!! ไม่มีผู้หญิงที่ไหนจะยอมทนลำบากกับผู้ชายที่มีแต่ตัวหรอก จำใส่กะโหลกไว้ด้วย!!”
“แต่ผมรักคุณจริงๆนะ!!” ชายหนุ่มยังคงไม่ยอมแพ้
“แล้วรักมันกินเข้าไปได้ไหมล่ะ!!!” หญิงสาวแผดเสียงใส่ชายหนุ่มจนเขานิ่งไป แต่หญิงสาวก็ไม่สนใจเดินจากไปทั้งๆแบบนั้น ปล่อยให้ชายหนุ่มผู้ผิดหวังจากความรักทรุดลงอยู่ตรงนั้นราวกับร่างอันไร้วิญญาณ
“ทำไมล่ะ... แค่ความรักมันไม่พอหรือยังไง...” ชายหนุ่มพร่ำเพ้ออยู่คนเดียวอย่างโดดเดี่ยว พลางคิดถึงอดีตอันหอมหวานระหว่างเขากับหญิงสาว ในตอนนั้นเขาเป็นยังเป็นเจ้าของธุรกิจและมีฐานะพอสมควร ก่อนที่ธุรกิจของเขาจะมาล้มละลายทำให้เขาแทบไม่เหลืออะไร เมื่อหญิงสาวทราบข่าวแทนที่จะให้ความช่วยเหลือกลับเริ่มตีตัวออกห่างเขาเรื่อยๆและตัดความสัมพันธ์กับเขาในที่สุด เขาไม่เคยคิดเลยว่าเธอจะคบกับเขาเพียงเพราะสิ่งๆเดียวนั่นคือ “เงิน” ไม่ใช่ “ความรัก”
“พวกผู้หญิง... มันชั่ว... นังสารเลว...” ชายหนุ่มเริ่มพยุงตัวขึ้นอย่างอ่อนแรง เขาเดินเซจนเกือบล้ม แต่โชคดีที่เขาใช้มือทั้งสองข้างยันกำแพงไว้ได้ทัน เขาใช้ศีรษะของตนกระแทกกับกำแพงเบาๆ จากกระแทกเบาๆกลายเป็นแรงขึ้น... แรงขึ้น... จนหน้าผากของเขาเต็มไปด้วยเลือด แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังไม่หยุด... เขาไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดทางกายอีกต่อไปแล้วเมื่อจิตใจของเขาถูกทำร้ายจนเจ็บปวดมากยิ่งกว่า
จนกระทั่งศีรษะของเขาทนแรงกระแทกซ้ำแล้วซ้ำเล่าไม่ไหวอีกต่อไป สติของเขาดับวูบพร้อมกับร่างอันไร้สติของเขาที่ล้มลงไปตรงนั้น ไม่มีใครรู้เลยว่าร่างที่กองอยู่กับพื้นตรงนั้นยังมีลมหายใจอยู่หรือไม่...
----------------------------------------------------